วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คลื่น 981 กิโลเฮิร์ทซ (AM. STEREO) และทาง www.thaiuradio.com



      สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ได้ย้ายมาดำเนินการงานกระจายเสียงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2552 เป็นต้นมา และได้ขยายเวลาออกอากาศ จากเวลาเดิม 13.00 21.00 น. เป็นเวลา 11.00 21.00 น.เป็นประจำทุกวัน เว้นวันเสาร์และวันอาทิตย์

      โดยช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ทางสถานีวิทยุจัดให้เป็นรายการ ท่องไปในแดนโดม เพื่อเผยแพร่ข่าวสารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งของคณะ และทุกหน่วยงานของมหาวิทยาลัย รวมทั้งข่าวสารและกิจกรรมจากศูนย์ลำปาง และพัทยา และกิจกรรมของนักศึกษาสลับกับเพลงมหาวิทยาลัย โดยรับฟังได้ทางคลื่น 981 กิโลเฮิร์ทซ (AM. STEREO) และทาง www.thaiuradio.com

      สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญชวน หน่วยงาน/คณะ/สถาบันของมหาวิทยาลัยร่วมส่งข้อมูลเพื่อนำมาผลิตรายการท่องไปในแดนโดม โดยส่งได้ที่ ตึกมีเดีย อาคารวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โทรศัพท์ 0-2696-6321
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




See all the ways you can stay connected to friends and family

โครงการจัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทำสัญญาในวันที่ 7 กันยายน 2550 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 7 กันยายน 2551 แต่จนถึงขณะนี้บริษัทผู้รับสัมปทานก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ

 

 

กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ สผ.ติดตามโครงการจัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)

29 มิ.ย. 52             ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร เร่งรัฐบาลติดตามโครงการจัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เป็นการด่วน หวั่นความล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน

                นายเจะอามิง  โตะตาหยง ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร  กล่าวถึงโครงการพิจารณาการจัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ว่า โครงการดังกล่าวได้เริ่มทำสัญญาในวันที่ 7 กันยายน  2550 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 7 กันยายน  2551  แต่จนถึงขณะนี้บริษัทผู้รับสัมปทานก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ กมธ.จึงเห็นว่าสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยควรมีหนังสือเร่งรัดไปยังบริษัทผู้ได้รับสัปทานในการดำเนินการเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่ง กมธ.ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารต่าง ๆ อาทิ ร่างขอบเขตของงาน (TOR) สัญญาการจัดซื้อจัดจ้างกล้องโทรทัศน์วงจรปิด แผนผังแสดงสถานที่ติดตั้งกล้องวงจรปิด สรุปผลการติดตั้งกล้องวงจรปิด และเอกสารอื่น มายังกมธ.เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                                อัญชิสา  จ่าภา      ผู้สื่อข่าว

                                                                                                                มันทนา  ศรีเพ็ญประภา        เรียบเรียง



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

"ผู้หญิงต้องเสียสละ" ปัจจัยกระบวนการค้ามนุษย์โต


"ผู้หญิงต้องเสียสละ" ปัจจัยกระบวนการค้ามนุษย์โต


     งานสัมมนาเรื่อง  "การกลับบ้านและสร้างชีวิตใหม่ : ประเด็นท้าทายในการทำงานการค้ามนุษย์"  จัดโดยมูลนิธิผู้หญิง  เพื่อนำเสนอประสบการณ์การทำงานและสถานการณ์หญิงและเด็กที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์   ทั้งกรณีหญิงไทยที่ตกเป็นผู้เสียหายของการค้ามนุษย์ข้ามชาติ   หรือหญิงและเด็กต่างชาติที่มาเป็นผู้เสียหายในประเทศไทย  มาวิเคราะห์ปัจจัยปัญหาอุปสรรคในการทำงาน   ตลอดจนพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนาแนวทางการช่วยเหลือกลับคืนถิ่น  และการสร้างชีวิตใหม่ของหญิงและเด็กที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ      

        

     นางสาวมัทนา  เชตมี  ผู้ประสานงานโครงการมูลนิธิผู้หญิง  กล่าวว่า  จากการสำรวจหญิงที่กลับมาจากต่างประเทศ   ระหว่างเดือนกันยายน  2550-เดือนกุมภาพันธ์  2552  รวม   18   เดือน  พบว่า  มีผู้เสียหายกลับจากต่างประเทศ  130  ราย  ส่วนใหญ่  หรือ  44   ราย  มีอายุ  25-30  ปี  จบการศึกษามัธยมส่วนใหญ่  รวม  46  ราย

     สำหรับประเทศปลายทางที่ถูกช่วยเหลือกลับมามากที่สุดอันดับ  1  คือ  บาห์เรน  คิดเป็นร้อยละ  40  รองลงมาคือ  อิตาลี  ร้อยละ  19  และญี่ปุ่น  คิดเป็นร้อยละ  12  โดยผู้หญิงเหล่านี้จะถูกละเมิดสิทธิต่างๆ   ถูกบังคับให้ทำศัลยกรรม  ถูกบังคับข่มขืนและทำร้าย  ถูกบังคับให้ทำแท้ง  ให้เสพยาเสพติด  ถูกกระทำวิตถารทางเพศ  ถูกดุด่าเยี่ยงทาส  และถูกละเมิดสิทธิแรงงาน  ถูกผูกมัดหนี้สินไม่เป็นธรรม  ไม่มีวันหยุด  ปฏิเสธแขกไม่ได้  และเมื่อกลับมาที่ประเทศไทยแล้วส่วนใหญ่จะมีสภาพร่างกายและจิตใจย่ำแย่  จะติดเหล้าติดยาเจ็บป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศ  เช่น  เอชไอวี  มะเร็ง  และเกิดความพิการแปลกแยกจากการถูกบังคับทำศัลยกรรม

     ด้านนางสาวปานจิตต์  แก้วสว่าง  เจ้าหน้าที่มูลนิธิผู้หญิง  รายงานผลการศึกษาการสร้างชีวิตใหม่ของหญิงและเด็กต่างชาติ   กรณีศึกษาลาว  กัมพูชา  และพม่า  โดยเยี่ยมครอบครัว   สัมภาษณ์ผู้หญิง   เด็ก   และครอบครัว  25  กรณีศึกษา  ประกอบด้วย  ลาว  12  กรณี   กัมพูชา  10  กรณี  และพม่า  3  กรณี  พบข้อมูลน่าสนใจ  ดังนี้  กรณีศึกษาลาว  12  กรณี  มีหญิงและเด็กย้ายถิ่นทำงานในลาว  5  ราย  อาศัยอยู่กับครอบครัว  1  ราย  แต่งงาน   3  ราย  อบรมและศึกษาต่อ  2  ราย  และกลับมาทำงานในไทย  1  ราย

     กรณีศึกษากัมพูชา   10  กรณี   มีหญิงและเด็กอาศัยอยู่กับครอบครัว  3  ราย  แต่งงาน  3  ราย  อบรมอาชีพและศึกษาต่อ  2  ราย  และกลับมาทำงานในไทย  2  ราย  และกรณีศึกษาพม่า  3  กรณี  มีหญิงและเด็กอาศัยอยู่กับครอบครัว  2  ราย  อบรมอาชีพและศึกษาต่อ   1  ราย  โดยรายงานการศึกษาพบด้วยว่าความต้องการของหญิงและเด็กเหล่านี้  คือ   อยากเรียนหนังสือ  มีอาชีพ  มีรายได้เลี้ยงครอบครัว  และเลือกที่จะแต่งงาน  แต่สิ่งที่ต้องเผชิญเมื่อกลับไปบ้าน  ได้แก่  สภาพครอบครัวที่คาดหวังให้เด็กและผู้หญิงแบกรับภาระ  ปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือน  โดยเฉพาะหนี้สินในครอบครัว

     นางสาวปานจิตต์กล่าวอีกว่า  นอกจากนี้ยังมีประเด็นท้าทายหลายประการที่อาจเป็นปัจจัยให้เด็กและผู้หญิงเหล่านี้กลับไปสู่กระบวนการค้ามนุษย์ได้อีก  ได้แก่  สภาพสังคมที่มีแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่มีมายาคติว่า   ลูกผู้หญิงต้องเสียสละ   ไม่ควรเรียนหนังสือ  ต้องแบกรับภาระดูแลครอบครัวสามีและลูก  การเมืองการปกครองที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของภาคประชาชน  จึงไม่สามารถป้องกันนักค้ามนุษย์ที่เข้ามาชักชวนหลอกลวงได้   สถานการณ์การย้ายถิ่นแรงงานในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  มีปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะในกัมพูชา  พบว่าเป็นบริบทชุมชนที่ไม่ปลอดภัย  มีนักค้ามนุษย์อยู่ในชุมชน  ส่วนพม่า  บริบทค่ายผู้ลี้ภัย  พบว่าเด็กหญิงที่อยู่ในค่ายรอการส่งกลับหรือไปประเทศที่สาม   จะมีนักค้ามนุษย์เข้าไปชักชวนและล่อลวงถึงในค่าย  โดยบางรายให้เงินกับพ่อแม่เด็กและนำเด็กออกมาทำงานเยี่ยงทาส

     รายงานการศึกษาฉบับนี้ยังมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐที่เกี่ยวข้อง  ประกอบด้วย 

1.ควรให้ผู้หญิงและเด็กจากการค้ามนุษย์ได้สะท้อนความต้องการความช่วยเหลืออย่างยั่งยืน 

2.ให้มีการติดตามช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กอย่างต่อเนื่องในทุกมิติสังคม  และ 

3.การส่งเสริมประสานความร่วมมือภาคประชาสังคมในประเทศต้นทางและปลายทาง.





See all the ways you can stay connected to friends and family

งานดนตรี ไลท์ออเคสตร้า เพลงปฏิวัติ 15 สิงหาคม 2552



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com



 



Date: Tue, 30 Jun 2009 22:33:20 +0700
Subject: งานดนตรี ไลท์ออเคสตร้า เพลงปฏิวัติ 15 สิงหาคม 2552
From: cpt.song@gmail.com
To: WRattanarat@oxfam.org.uk

งานดนตรี ไลท์ออเคสตร้า เพลงปฏิวัติ 15 สิงหาคม 2552

เรียน ท่านที่เคารพ

ทางคณะผู้จัดงาน จะจัดการแสดงดนตรีข้างท้ายนี้  จึงขอความกรุณาท่านโปรดเข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย  และพิจารณาประชาสัมพันธ์การแสดงดนตรีดังกล่าวด้วย  โปรดติดต่อ คุณจันทิรา สระทองเขียว หมายเลขโทรศัพท์: 084.116.4992 Email: cpt.song@gmail.com

ด้วยความขอบพระคุณ
จันทิรา





โครงการจัดแสดงคอนเสิร์ตไลท์ออเคสตร้าเพลงปฏิวัติ
"...เพราะคิดถึงเพื่อน"
ณ หอประชุมพิพิธภัณฑ์ฯ  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2552 19:30 น.

คอนเสิร์ตครั้งนี้ จึงได้จัดมีขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูจิตใจกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละเพื่อส่วนรวม ของมวลนิสิต นักศึกษาและประชาชน ที่ต่อสู้เพื่อเอกราช ประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคม  เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ของบทเพลงปฏิวัติ และเพื่อได้มีการพบปะกันในหมู่อดีตนักปฏิวัติ

รูปแบบการแสดง
เป็นการแสดงดนตรีของวงเพื่อนมิตรไลท์ออเคสตร้า ประกอบการขับร้องของส่วนหนึ่งของนักร้องปฏิวัติในอดีต นักศึกษาปัจจุบัน และชุดการแสดงนาฏศิลป์ประกอบ

บทเพลงที่ใช้แสดง
คัดเลือกบทเพลงปฏิวัติที่เกี่ยวกับความคิดความผูกพัน จำนวน 20 เพลง มาแสดงได้แก่
1.   เพลงรำลึกวีรชน    12. เพลงแองเตอร์นาซิอองนาล
2.   นาฏศิลป์ประกอบเพลงฟ้าทอง    13. เพลงลาไปเป็นทหารปลดแอก
3.   เพลงสดุดีวีรชน 14 ตุลา    14. เพลงทหารประชาชน
4.   เพลงสดุดีวีรชน  6 ตุลา    15. เพลงดาวแดงส่องสว่างเหนือภูพาน
5.   เพลง  ตุลาชัย     16. เพลงพี่น้องภาคใต้รุกรบช่ำชอง
6.   เพลง นกน้อย    17. เพลงสดุดีนักรบแนวหน้า
7.   สดุดีครูประชา    18. เพลงความหวังแห่งชีวิตใหม่
8.   เพลงดาวแห่งชาวนา    19. เพลงขอสดุดีแด่พรรคที่รักยิ่ง
9.   เพลงขอเพื่อนจงหยัดยืน    20. เพลงสายทางนักรบประชา
10. เพลงแผ่นดินของเรา    21. เพลงภูสระเริงรำ
11. นาฏศิลป์ประกอบเพลงตันหยง
 
การจองบัตรชมการแสดง
ติดต่อจองบัตรได้ที่ คุณจันทิรา สระทองเขียว หมายเลขโทรศัพท์: 084.116.4992 Email: cpt.song@gmail.com
โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://cpt.igetweb.com

Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

[netizen] ห้องสมุดในทัศนะของข้าพเจ้า / ป๋วย อึ๊งภากรณ์



 
From: Arthit Suriyawongkul <arthit@gmail.com>
Date: มิ.ย. 29, 2009 12:28 หลังเที่ยง
Subject: [netizen] ห้องสมุดในทัศนะของข้าพเจ้า / ป๋วย อึ๊งภากรณ์
To: Thai Netizen <thainetizen@googlegroups.com>

ห้องสมุดในทัศนะของข้าพเจ้า / ป๋วย อึ๊งภากรณ์
http://ideas.in.th/stories/2009-04-28/139

ผมชอบตอนนี้ :p

"ใครชอบทางไหน อ่านไปเถิด จะได้อ่านได้มาก แม้แต่เรื่องโป๊
ผมก็รู้สึกว่าไม่น่าห้าม ถ้าเขาอ่านแล้วชอบ ก็ควรให้อ่าน
ขออย่างเดียวให้ได้ภาษาดีๆ และเป็นเรื่องที่มีศิลปะ"

----
ศีลธรรมในหนังสือ

ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดในเมืองหรือในชนบท ห้องสมุดในมหาวิทยาลัย
หรือโรงเรียน ปัญหาเรื่องศีลธรรม จะต้องมาสู่ท่านวันใดวันหนึ่งเป็นแน่
ท่านควรจะเผยแพร่หนังสือประเภทใด และควรระวังหนังสือประเภทใด
นี้เป็นปัญหาทางการเมือง การศาสนา และสังคมที่ท่านคงจะประสบไม่วันนี้
ก็วันข้างหน้า

ถ้าเป็นหนังสือต่างประเทศ ผมเองเคยแนะนำลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัย
ซึ่งก็อายุมากพอสมควร ว่าให้อ่านไม่อั้น
เพราะจุดหมายมีอยู่ที่จะให้ภาษาต่างประเทศแตกฉาน
และควรจะอ่านด้วยความรู้สึกสนุก อย่างที่เราเรียกว่า มีฉันทะ
เรื่องตลกโปกฮา เรื่องนักสืบลึกลับ เรื่องความรักหวานฉ่ำ
เรื่องวิทยาศาสตร์ ประโลมโลก ใครชอบทางไหน อ่านไปเถิด จะได้อ่านได้มาก
แม้แต่เรื่องโป๊ ผมก็รู้สึกว่าไม่น่าห้าม ถ้าเขาอ่านแล้วชอบ ก็ควรให้อ่าน
ขออย่างเดียวให้ได้ภาษาดีๆ และเป็นเรื่องที่มีศิลปะ

พูดถึงเรื่องโป๊แล้ว แม้แต่ในวรรณคดีเอกของไทย ก็มีกันดื่น พายุปากอ่าว
เรือจะล่มมิล่มแหล่ มีอยู่ทั้งนั้น ในพระลอ พระอภัยมณี อิเหนา
ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น Lady Chatterley เป็นของใหม่สำหรับฝรั่ง
ของไทยเราเกือบจะเป็นของธรรมดา แต่แน่ละ
ถ้าเป็นเรื่องเขียนขึ้นมีแต่ลามกอนาจารเป็นที่ตั้ง
ก็เป็นหนังสือที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่เริ่มจะรู้ความ
----

--~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~
Thai Netizen Network
http://thainetizen.org/

----
u rcvd diz msg bcoz u r sbscbd 2 d "Thai Netizen Network" grp.
post, email thainetizen@googlegroups.com
leave, email thainetizen+unsubscribe@googlegroups.com
info, http://groups.google.com/group/thainetizen
-~----------~----~----~----~------~----~------~--~---



--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.tzuchithailand.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

'9 ค่าย'นานกว่า 20 ปี 'ตัวเลขผู้ลี้ภัย' ในไทย

'9 ค่าย'นานกว่า 20 ปี 'ตัวเลขผู้ลี้ภัย' ในไทย

วันพุธ ที่ 24 มิถุนายน 2552 เวลา 0:00 น

 

'ยังมีเป็นแสน'

เรื่องของ "ผู้ลี้ภัย" ทุกวันนี้ยังมีอยู่ในประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งเนื่องในวันผู้ลี้ภัยโลก 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ   ยูเอ็นเอชซีอาร์ (UNHCR) ได้เผยสถานการณ์ผู้ลี้ภัยโลกว่า ในปีที่ผ่านมาทั่วโลกยังมีคนกว่า 42 ล้านคนที่พลัดพรากจากบ้าน โดยแบ่งเป็นผู้ลี้ภัยราว 16 ล้านคน และผู้พลัดถิ่นราว 26 ล้านคน นี่ยังไม่รวมตัวเลขผู้พลัดถิ่นในปี 2552 นี้
   
ในส่วนของ "ผู้ลี้ภัย" คนไทยเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้น...
   
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว "ในไทยก็มี-มีมานานกว่า 20 ปี !!"
   
"จากรายงานสถานการณ์ผู้ลี้ภัยทั่วโลกของยูเอ็นเอชซีอาร์ ประจำ ปี 2551 พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ลี้ภัยในโลกมาจากประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศที่มีผู้ลี้ภัยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ปากีสถาน ซีเรีย อิหร่าน เยอรมนี และจอร์แดน ส่วนประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของผู้ลี้ภัยคือ อัฟกานิสถาน และอิรัก" ...เป็นการเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้โดย โจเซปเป เดอ วินเซนทิส รองผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
   
พร้อมทั้งยังมีการระบุว่า... แม้ว่าจำนวนตัวเลขผู้ลี้ภัยจะลดลง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยาวนาน และระยะเวลาที่ใช้ในการคืนสู่บ้านเกิดของคนเหล่านี้ ทำให้ผู้ลี้ภัยต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองตนเองเป็นเวลานานนับปี หรืออาจจะกว่าสิบปีก็ได้ เช่น ผู้ลี้ภัยชาวพม่า ซึ่งเป็น ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย จากความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศพม่าที่เกิดขึ้นยาวนาน และไม่สามารถแก้ไขได้ในอนาคตอันใกล้
   
สำหรับประเทศไทยเรานั้น รองผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่ง สหประชาชาติ บอกว่า... กว่า 30 ปีแล้วที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ได้เข้ามาทำงานในประเทศไทย แม้ว่าประเทศไทยจะไม่เคยลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย ซึ่งมีขึ้นในปี พ.ศ. 2484 แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยก็ทำงานกับยูเอ็นเอชซีอาร์อย่างใกล้ชิดมาตลอด
   
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการรับ "ผู้ลี้ภัย" เข้าพักพิงในประเทศ ทั้งผู้ลี้ภัยที่เกิดจาก "สงครามอินโดจีน" ที่เกิดจาก  "สงครามเวียดนาม" และที่เกิดจาก "สถานการณ์ในพม่า"
   
ทั้งนี้ ทางยูเอ็นเอชซีอาร์เองมีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยร่วมกับรัฐบาลไทยและเอ็นจีโอที่ทำงานในพื้นที่ โดยให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ อาทิ การฝึกทักษะอาชีพ และการศึกษา เพื่อที่ผู้ลี้ภัยจะสามารถดำเนินชีวิตระหว่างอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว อย่างปลอดภัย
   
รองผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ระบุต่อไปว่า... ผู้ลี้ภัยกว่าแสนคนในไทยอยู่ในพื้นที่ปิดมาเกือบตลอด บางคนอยู่มา 10 ปี 20 ปี หรือเกิดในพื้นที่พักพิง ซึ่งการที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากพื้นที่ สร้าง ความอึดอัด หดหู่ ซึมเศร้า เกิดสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง ข่มขืน ใช้ยาเสพติด
   
ด้วยเหตุนี้ ทางยูเอ็นเอชซีอาร์จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลไทยมีการปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ของ "ค่ายผู้ลี้ภัย" เท่าที่รัฐบาลไทยพอจะทำให้ได้ หรืออยากจะให้มีการให้สิทธิแก่ผู้ลี้ภัยในการเดินทางออกนอกค่ายเพื่อการประกอบอาชีพได้บ้าง ซึ่งปัจจุบันผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายต้องรออาหารจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่เข้ามาบริจาคเท่านั้น ขณะที่ในความรู้สึกของผู้ลี้ภัยเองก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้แก่ใครมากมาย
   
"อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อเรียกร้องนี้จะดูมากเกินไปในระยะเวลาอันใกล้ แต่ทางยูเอ็นเอชซีอาร์ก็เห็นสัญญาณที่ดีของรัฐบาลไทย เช่น การส่งเสริมให้เรียนภาษาไทย โดยทางกระทรวงศึกษาธิการ และการศึกษา นอกโรงเรียน ซึ่งข้อเรียกร้องข้อหลังนั้นทางยูเอ็นเอชซีอาร์คงจะพูดคุยกับรัฐบาลไทยในระยะยาวต่อไป" ...รองผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติระบุ
   
นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่า... ผู้ลี้ภัยไม่เหมือน "แรงงานต่างด้าว"เพราะผู้ลี้ภัยคือคนที่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหนีออกจากประเทศของตน พวกเขาต้องหนีเพราะชีวิตตกอยู่ในอันตราย หรือมีการไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ของพวกเขา ในขณะที่แรงงานต่างด้าวคือคนที่เข้ามาหางานทำ โดยทางยูเอ็นเอชซีอาร์หวังว่ารายงานประจำปีของยูเอ็นเอชซีอาร์ที่เปิดเผยออกมาจะช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยให้คนไทยได้ทราบมากขึ้น
   
ขอย้ำว่า "ผู้ลี้ภัย" เป็นคนละกลุ่มกับแรงงานต่างด้าว
   
และเป็นกลุ่มคนต่างชาติที่ยังมีอยู่ในไทยจำนวนมาก...
   
ถามว่ามีมานานแค่ไหนแล้ว ? และตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่แน่ ? ข้อมูลจากการระบุของรองผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติในเมืองไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคำตอบคือ... ยูเอ็นเอชซีอาร์ทำงานด้านผู้ลี้ภัยร่วมกับรัฐบาลไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และว่ากันเฉพาะที่ประเทศไทยรับภาระโดยการจัดให้มีค่ายพักพิงผู้ลี้ภัย ก็มีประมาณ 9 แห่ง ที่ดูแลผู้ลี้ภัยมายาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งก็นับเป็นจำนวนมากที่สุดและเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
   
"ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยแล้ว 112,932 คน และมีผู้ ขอลงทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยอีก 12,578 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยจากพม่า ชาวกะเหรี่ยง และกะเหรี่ยงแดง ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยทราบว่ามีคนที่เป็นผู้ลี้ภัยจริง ๆ อยู่ในประเทศของตัวเอง" ...ทางยูเอ็นเอช ซีอาร์ระบุ
   
มิใช่ระยะเวลาสั้น ๆ เลย...ที่ "มีผู้ลี้ภัย" อยู่ในไทย
   
และมิใช่น้อย ๆ เลย...กับ "จำนวนผู้ลี้ภัย" ในไทย
   
นี่เป็นอีกเรื่องที่คนไทยจำนวนไม่น้อย...ไม่รู้ ?!?!?.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=4824&categoryID=23

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

ย้อนประวัติ 'หวยไทย' ลุ้นสนุกได้...อย่าลุ่มหลง

"หวย" ถือเป็นวิธีการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่งที่คนในสังคมไทยให้ความสนใจและนิยมบริโภคเกือบทุกระดับชั้น โดยเฉพาะชั้นรากหญ้า จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหวยเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนานหลายยุคหลายสมัย ดังนั้นหวย  จึงมีวิวัฒนาการในรูปแบบต่าง ๆ เรื่อยมา จนกลายมาเป็น "ลอต เตอรี่" ในปัจจุบัน
   
แต่ก่อนที่หวยจะพัฒนามาเป็นลอตเตอรี่ หรือสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เรารู้จักกันในวันนี้ ย้อนกลับไปศึกษาประวัติการเล่นหวยในประเทศไทย มีเรื่องราว น่าสนใจกล่าวไว้ว่า คนไทยเริ่มรู้จักการเล่นหวยมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งคำว่า "หวย หรือหวย ก.ข. หรือหวยเบอร์" ได้เกิดขึ้นโดยชาวจีนที่อาศัยอยู่ ในประเทศไทยเป็นผู้ขอสัมปทานด้วยการประมูลตั้งเป็นโรงบ่อนหวยและผู้ได้รับสัมปทานเป็นนายอากรหวยจะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนบาลเบิกบุรีรัตน์หรือคนทั่วไปเรียก "ขุนบาล" ผู้อำนวยการออกหวยทุกเช้าค่ำ จนเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนจึงนิยมเล่นกันมากในสมัยนั้น
   
ต่อมาการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีฝรั่งชาวอังกฤษชื่อ "ครูอาล บาสเตอร์" เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมา   เผยแพร่เป็นคนแรก เรียกว่า "ลอตเตอรี่" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2417 เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือพ่อค้าต่างชาติที่นำสินค้ามาร่วมแสดงในการจัดพิพิธภัณฑ์ที่ตึกคองคาเดีย ในพระบรมมหาราชวัง
   
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนหวย ก.ข. สำเร็จประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2459 แต่อย่างไรก็ตามยังมีผู้คนแอบเล่นหวยเบอร์กันจนถึงปัจจุบัน โดยอาศัยเลขท้ายรางวัลของสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นตัวจ่ายรางวัลในการเล่นผิดกฎหมายนี้ หลังจากประกาศเลิกหวย ก.ข. แล้วใน    ปี พ.ศ. 2460 ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่  ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 สหราชอาณาจักรอังกฤษซึ่งเป็นประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรประสงค์จะกู้เงินจากประเทศไทยเพื่อใช้ในการสงคราม แต่ไม่อาจกู้โดยตรงจากรัฐบาลไทยได้ เพราะเป็นการกระทบกระเทือนงบประมาณ สภารักชาติแห่งประเทศอังกฤษ จึงดำเนินนโยบายกู้เงินจากประชาชนด้วยการออกลอตเตอรี่ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
   
และในปี พ.ศ.2466 ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ออก "ลอตเตอรี่เสือป่าล้านบาท" เพื่อหารายได้บำรุงกอง  เสือป่าอาสาสมัคร ซึ่งพิมพ์จำนวน 1 ล้านฉบับ จำหน่ายฉบับละ 1 บาท ซึ่งวิธีการออกสลากในสมัยนั้นเพียงแค่นำเลขที่ออกรางวัลบรรจุกล่องทึบแล้วใส่ลงในไห   ตั้งเรียงตามลำดับจากหลักหน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ก่อนออกรางวัลกรรมการจะจับสลากเพื่อทราบว่าครั้งนี้จะออกรางวัลที่เท่าใดแล้วจึงให้กรรมการล้วงตลับบรรจุเลขหมายออกมาเปิดต่อหน้ากรรมการและประชาชนจนหมดทุกรางวัลเป็นอันเสร็จการออกรางวัลสลากนั้น ๆ
   
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ.2476 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 7 รัฐบาล มีนโยบายที่ จะลดเงินรัชชูป การ (เงินที่เรียกเก็บจากชายไทยที่มิต้องรับราชการ ทหาร) ทำให้รัฐขาดรายได้ จึงได้ดำริให้  มีการออกลอตเตอรี่รัฐบาลขึ้นโดยเรียกว่า     "ลอตเตอรี่รัฐบาลสยาม" โดยพิมพ์ออกจำหน่ายจำนวน 1 ล้านฉบับ ฉบับละ 1 บาท ปีละ 4 งวด และ ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 คณะ รัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยออก "สลากกินแบ่งบำรุงเทศบาล" โดยกำหนดว่า หากเดือนใดเป็นเดือนที่ออก สลากกินแบ่งรัฐบาล เดือนนั้นให้งดจำหน่ายสลากกินแบ่งของเทศบาล โดยเริ่มจำหน่ายงวดแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2478 แล้วออกสลากเดือนเมษายน พ.ศ. 2479 โดยพิมพ์จำนวน 500,000 ฉบับ ฉบับละ 1 บาท และได้มีการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงเทศบาลเรื่อยมา
   
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2482 ถือเป็นยุคที่สลากกินแบ่งรัฐบาลเริ่มดำเนินการอย่างจริงจัง โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้โอนกิจการสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงเทศบาลมาสังกัดกระทรวงการคลังและได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้น โดยมีพระ ยาพรหมทัตศรีพิลาส เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2482 จึงถือเป็นวันสถาปนาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน และการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2517 ได้มีการออกพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้น กำหนดให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นนิติบุคคล และเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง
   
วันชัย สุระกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แสดงมุมมองว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่ในปัจจุบันกับหวยหรือหวย ก.ข. ในอดีตมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือสลากกินแบ่งฯ จะเป็นการเสี่ยงโชคโดยใช้ตัวเลขแต่หวยจะใช้ตัวอักษรและที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนก็คือ วัตถุประสงค์ของสลากกินแบ่งฯ นำเงินที่ได้  ไปช่วยเหลือสังคม นอกเหนือจากรายได้ที่แน่นอนที่ต้องส่งเข้ารัฐไม่ต่ำกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ตามข้อกำหนดเพื่อเป็นงบประมาณแผ่นดินใช้ในการบริหารประเทศแล้ว   ยังมีการแบ่งเงินช่วยเหลือสังคม ในด้านการสาธารณสุขการพยาบาล การกีฬาและอื่น ๆ  อีกมากมายรวมทั้งเพื่อเป็นการ คืนกำไรให้กับประชาชนที่ไม่  ถูกสลากอีกด้วยใน โครงการ "CSR หรือ Corporate Social Responsibility การดำเนินโครงการรับผิดชอบต่อสังคม" ส่วนหวยเป็นการเสี่ยงโชคที่ผิด กฎหมาย ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริงมีเพียงคนเดียวคือ เจ้ามือหวย
   
อย่างไรก็ตามสลากกินแบ่งฯ ในปัจจุบันมีข้อดีคือ ผู้ซื้อทราบแน่นอนว่าหากถูกรางวัลจะได้รับเงินจำนวนเท่าไหร่ เพราะด้านหลังสลากระบุไว้ อีกทั้ง  สลากมีอายุนานถึง 2 ปีนับจากวันออกสลาก หากซื้อไปแล้วตรวจไม่ทันสามารถย้อนกลับไปดูได้เรามีข้อมูลเก็บไว้และสามารถพิมพ์จำนวนเท่าใดก็ได้เท่านั้นเพราะมียี่ปั๊วรับซื้อ แต่ข้อเสียก็คือเป็นการพิมพ์สลากไว้ล่วงหน้ามีเลขจำกัด เช่น ชุดละ 1 ล้าน 46 ชุดก็เป็นเงิน 46 ล้านบาท เป็นการกำหนดไว้ล่วงหน้าหลายวันเพื่อให้ผู้ขายนำไปขาย ซึ่งใน 1 ชุด มีเลขท้ายเลขเดียวทำให้เป็นข้อจำกัดที่ว่าบางคนอยากได้เลขนี้แต่คนอื่นซื้อไปแล้วทำให้มีการโก่งราคาและเกิดปัญหาขายเกินราคาขึ้น
   
นอกจากนี้สลากกินแบ่งฯ ในประเทศไทยขณะนี้ถือว่าโบราณเพราะยังใช้รูปแบบเดิม ๆ อยู่ รวมทั้งใช้เวลาการออกรางวัลสลากนานถึง 15 วัน ซึ่งยังมีประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชีย อีกไม่กี่ประเทศที่ยังคงใช้วิธีลักษณะนี้ แต่ประเทศในแถบยุโรปใช้แบบดิจิทัลซ่อนตัวเลข        อยู่ข้างในและให้ผู้ซื้อขูดเลขออกมาลุ้นกัน โดยออกรางวัลอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้ามองในแง่ดีแบบเก่าของประเทศเราก็ไม่เป็นการมอมเมาประชาชนจนเกินไปเพราะออกไม่บ่อยและจำนวนมีจำกัด จึงอยากจะเตือนประชาชนให้ ซื้อสลากตามอัตภาพไม่ซื้อมากเพื่อหวังเงินรางวัลและอย่าลุ่มหลงจนเกินไป
   
ในอนาคตข้างหน้าเราหวังจะได้เห็นวิวัฒนาการของสลากในรูปแบบใหม่ขึ้น โดยการลดขนาดลงประมาณครึ่งหนึ่งเพราะสลากแบบปัจจุบันนี้ก็ยังถือว่าใหญ่    เกินไป ทำให้เปลืองกระดาษและวางแผงลำบาก ในสมัยก่อนที่ต้องมีขนาดใหญ่เพื่อโชว์รูปภาพแต่ตอนนี้เราจะโชว์ตัวเลข เพื่อประหยัดกระดาษลง ทำให้ผู้ซื้อพกพาสะดวกโดยไม่เน้นรูปภาพแล้ว เพราะปัจจุบันเราขายสลากได้รายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจึงไม่ต้องส่งเสริมการขายในตัวสินค้าและจะพยายามส่งกำไรกลับคืนไปสู่สังคมทุกช่องทาง จึงมั่นใจได้ว่ากำไรไม่ได้หายไปไหนรัฐบาลจะนำกลับไปสู่ผู้เล่นให้ได้ประโยชน์สูงสุด
   
ถึงแม้สลากกินแบ่งฯหรือลอตเตอรี่จะถูกกฎหมาย หรือ  แม้กระทั่งหวยบนดิน ใต้ดิน หวยออนไลน์ ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นี้ผิดหรือถูกกฎหมายอย่างไร แต่ทั้งหมดก็ถือว่าเป็นการเสี่ยงโชคหรือการพนันทั้งสิ้น หากเราสามารถควบคุมได้และเล่นสนุกพอดีก็จะไม่เดือดร้อน แต่หากปล่อยให้มันครอบงำเหมือนผีพนันเข้าสิง ถ้าไม่รวยก็หมดเนื้อหมดตัวกันแน่คราวนี้...

กรวิกา  คงเดชศักดา

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=5507

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

ศิลปะชมนกชม(กล้วย)ไม้

วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6787 ข่าวสดรายวัน


ศิลปะชมนกชม(กล้วย)ไม้





โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ชวนชมนิทรรศ การศิลปะ ชมนก...ชม (กล้วย) ไม้ โดย พรพรรณ ศรีธนาบุตร อดีตช่างภาพที่ผันตัวมาจับพู่กัน นำเสนอความเหมือนในความต่างระหว่างการถ่ายภาพและการวาดภาพ พร้อมถ่ายทอดเป็นผลงานจิตรกรรมสีน้ำกว่า 40 ภาพ ที่สวย งามทั้งสีสัน ลวดลายที่หลากหลายของกล้วยไม้ รวมถึงบรรยากาศในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ด้วยเทคนิคตามสไตล์ของศิลปิน ร่วมชมความงามได้ในวันที่ 1-31 ก.ค. เวลา 09.00-21.00 น. ที่ลานนิทรรศการ ชั้น 3 ของโรงแรม รายได้ จากการจำหน่ายภาพบางส่วนมอบให้มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สนใจสอบถามโทร.0-2653-9000 ต่อ 5020-1

หน้า 25
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROc1lXUXdNekk1TURZMU1nPT0=&sectionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd09TMHdOaTB5T1E9PQ==

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

มศว เร่งงานวิจัยตั้งศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณะ+ม.ยูนาน



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 15:33:29 น.  มติชนออนไลน์

มศว เร่งงานวิจัยตั้งศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณะ+ม.ยูนาน

รศ.ดร.เรณู สุขารมณ์ คณบดีสำนักเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนว่าสำนักเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะปรับสภาพมาจากภาควิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งอยู่ในคณะสังคมศาสตร์ เมื่อยกระดับเป็นสำนักวิชาศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่ากับคณะๆ หนึ่ง แต่จะไม่มีการแบ่งเป็นภาควิชาต่างๆ โดยหลักสูตรเศรษฐศาสตร์บัณฑิตของสำนักเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ แบ่งเป็นโปรแกรมภาษาไทย และสองภาษาคือไทย-อังกฤษ ประกอบด้วยสองสาขาใหม่คือสาขาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ ซึ่งดำเนินการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2553 ส่วนปีการศึกษา 2554 จะเปิดสาขาเศรษฐศาสตร์การจัดการสิ่งแวดล้อม ตลอดถึงจะเปิดสอนในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตด้วย
 
"ในช่วง 4 ปีแรกของการจัดตั้งสำนักเราได้จัดให้มีศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณะ และพัฒนาชุดโครงการวิจัย 3 ชุดโครงการคือ 1.โครงการทดลองขับเคลื่อนนครนายกเป็นจังหวัดสุขภาวะทั้งด้านกาย จิตใจ และปัญญา 2.โครงการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรและการจัดการการคลังสาธารณสุข 3.โครงการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การคลังเพื่อการศึกษา นอกจากนี้เราจะร่วมทำวิจัยกับคณาจารย์ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ทั้งนี้จะเริ่มทำสำรวจโพลในประเด็นร้อนๆ ด้วย"
 
รศ.ดร.เรณู กล่าวว่าขณะนี้ทางสำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายได้ทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยยูนาน ด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ เมืองคุนหมิน มณฑลยูนาน โดยมหาวิทยาลัยยูนานจะส่งนักศึกษาจีนมาเรียนที่มศว ต่อจากนั้นในอนาคตจะมีความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไป  
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1246264467&grpid=03&catid=04




Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

ก.พ.มีมติให้ ขรก.ถูกสอบวินัยร้ายแรงขึ้นเงินเดือนได้แล้ว อ้างยังไม่ได้ทำผิด-พ้นบ่วง เลื่อนตำแหน่งได้



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com  



วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 17:35:22 น.  มติชนออนไลน์

ก.พ.มีมติให้ ขรก.ถูกสอบวินัยร้ายแรงขึ้นเงินเดือนได้แล้ว อ้างยังไม่ได้ทำผิด-พ้นบ่วง เลื่อนตำแหน่งได้

ข้าราชการได้เฮอีก ก.พ.มีมติยกเลิกหลักการ"ห้ามขึ้นเงินเดือน"ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง อ้างยับไม่ถือว่ากระทำผิด ให้นำผลงานมาประเมินผลได้ พ้นบ่วงเมื่อไหร่ให้เลื่อนตำแหน่งได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ก.พ. ครั้งที่ 6/2552 เมื่อที่ 29 มิถุนายน 2552   โดยที่ประชุมได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญ ดังนี้


 
1. การปรับปรุงร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ....   ก.พ.มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกหลักการ "รอการเลื่อนเงินเดือน" สำหรับผู้ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง  โดยให้ได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนตามผลการปฏิบัติราชการ เพราะผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกสอบสวน ยังไม่ถือว่า ผู้นั้นเป็นผู้กระทำผิดวินัย และในระหว่างการถูกสอบสวน ผู้นั้นยังคงปฏิบัติหน้าที่และมีผลการปฏิบัติงานที่สามารถนำไปประเมินเพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือนได้  อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเลื่อนเงินเดือนดังกล่าวให้คำนึงถึงวินัยของข้าราชการด้วย 

สำหรับการพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นให้ดำเนินการได้ หลังจากพ้นโทษแล้ว และสามารถพิจารณาเลื่อนเงินเดือนได้มอบให้ อ.ก.พ.วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการทบทวนร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ....    และร่างกฎ ก.พ. ที่จะออกตาม มาตรา 63 ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
 
2. เห็นชอบโครงการเสริมสร้างขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการร่วมกันระหว่างสำนักงาน ก.พ. และศูนย์อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยแต่ละปีจะมีการคัดเลือกข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติปฏิบัติชอบ มีคุณธรรมจริยธรรมอันดีงาม และครองตนอยู่ในครรลองของศาสนาที่นับถืออย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ เข้าร่วมโครงการฯ  แบ่งเป็นข้าราชการไทยมุสลิม 50 คน ไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครเมกกะ เป็นเวลา 1 เดือน และข้าราชการไทยพุทธ 50 คน  ไปนมัสการสังเวชนียสถาน ณ ประเทศอินเดียและเนปาล เป็นเวลา 10 วัน

โครงการฯ ดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างขวัญกำลังใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการที่ปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ทั้งยังจะส่งผลให้ข้าราชการที่เข้าร่วมโครงการฯ มีความเข้มแข็งทางจิตใจ ซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
 

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1246271843&grpid=00&catid=01



Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

ครส.ตีกลับ 7 รสก.ขอขึ้นค่าครองชีพหวั่นอีก 58 แห่งขอด้วย



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com  


วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 17:39:20 น.  มติชนออนไลน์


ครส.ตีกลับ 7 รสก.ขอขึ้นค่าครองชีพหวั่นอีก 58 แห่งขอด้วย

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มค่าครองชีพรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)   การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามข้อเสนอที่คณะกรรมการแรงงานกิจการสัมพันธ์ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ได้เห็นชอบให้ปรับเพิ่มค่าครองชีพก่อนหน้า วันที่ 29 มิถุนายน

นายไพฑูรย์ กล่าวภายหลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมงว่า ที่ประชุม ครส.มีมติยังไม่พิจารณาปรับเพิ่มค่าครองชีพให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง เนื่องจากเห็นว่าตัวเลขขอเพิ่มค่าครองชีพไม่เท่ากัน โดยททท.อภ.และกทท. เสนอขอปรับเพิ่มค่าครองชีพเดือนละ 1 , 500 บาท และรัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก 4 แห่งให้ปรับเพิ่ม 2 , 000 บาท ยังมีความลักลั่น จึงได้มอบให้ฝ่ายเลขานุการของครส.ไปพิจารณาวางกรอบโครงสร้างค่าครองชีพให้มีตัวเลขที่ชัดเจนและครอบคลุมพนักงานที่มีรายได้น้อยมากที่สุด เพื่อเสนอกลับให้ที่ประชุมครส.พิจารณาในคราวหน้า


"สาเหตุที่ยังไม่มีการพิจารณา เนื่องจากครส.ได้เสนอสูตรเพิ่มค่าครองชีพเป็น 2 แนวทาง คือ
สูตร 1 เสนอให้ปรับเพิ่มเงินค่าครองชีพให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้ปฏิบัติการที่มีเงินเดือนไม่เกิน 20 , 000 บาท ให้ได้ค่าครองชีพให้ได้คนละ 2 , 000 บาท ไปจนกว่าครม.จะยกเลิกการจ่ายเงินค่าครองชีพชั่วคราวให้กับข้าราชการ
ขณะที่สูตร 2 เสนอให้เพิ่มเงินค่าครองชีพให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้ปฏิบัติการโดยไม่ระบุฐานเงินเดือนขั้นต่ำ และกำหนดให้ไม่เกิน 1 , 000 บาทต่อเดือน
ซึ่งทั้ง 2 สูตรนี้ยังมีความขัดแย้งกัน หากเลือกสูตรใด สูตรหนึ่ง ก็จะมีปัญหาถกเถียงไม่จบ และตอบสังคมยาก ที่สำคัญครม.ก็คงไม่ให้ผ่านด้วย"นายไพฑูรย์ กล่าว


นายไพฑูรย์ กล่าวด้วยว่าการพิจารณาของครส.จำเป็นจะต้องดูตามข้อเท็จจริงเป็นหลัก ไม่สามารถทำตามกระแส เพราะเรื่องนี้เมื่อผ่านครส.ไปแล้ว ตนจะต้องนำไปชี้แจงในครม.ดังนั้นการให้ฝ่ายเลขาฯไปเตรียมตัวเลขที่ชัดเจน   นอกจากเพื่อความรอบคอบแล้วก็ยังเป็นโอกาสให้รอดูผลการพิจารณาปรับเพิ่มค่าครองชีพของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)และการประปานครหลวง (กปน.)ที่กระทรวงมหาดไทยเตรียมเสนอครม.ว่าจะผ่านหรือไม่ ทั้งนี้หากครม.ให้ผ่าน ตนก็ยอมรับว่าหนักใจ เพราะต้องมีรัฐวิสาหกิจจำนวนมาก เสนอขอปรับเพิ่มค่าครองชีพตามมาอีก ซึ่งทราบจากข่าวว่ามีถึง 23 แห่ง ที่เตรียมร้องขอ ก็จะเป็นปัญหาลูกโซ่ไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะข้าราชการก็อาจจะร้องเรียนว่าทำไมไม่ได้รับบ้าง
 
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=70&nid=41058


What can you do with the new Windows Live? Find out

ยูเนสโกแจ้งข่าวดี"ม.ร.ว.คึกฤทธิ์-ครูเอื้อ"ผ่านพิจารณารอประกาศบุคคลโลก ต.ค.



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com  

ยูเนสโกแจ้งข่าวดี"ม.ร.ว.คึกฤทธิ์-ครูเอื้อ"ผ่านพิจารณารอประกาศบุคคลโลก ต.ค.

ข่าววันที่ 29 มิถุนายน 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

ยูเนสโกแจ้ง"ม.ร.ว.คึกฤทธิ์–ครูเอื้อ"ผ่านพิจารณา

กก.ประกาศทางการบุคคลสำคัญของโลก ต.ค.นี้

สยามรัฐ – ศิลปวัฒนธรรม 29 มิ.ย. นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยว่า จากที่ประ เทศไทยได้เสนอชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ นายเอื้อ สุนทรสนาน ต่อคณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้โครงการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของยูเนสโก ประจำปี 2553-2554 นางอรชาต สืบสิทธิ์ รองผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ยืนยันผลการประชุมพิจารณารอบที่ 2 ของคณะกรรมการกลั่นกรองคัดเลือกบุคคลสำคัญของโลกทั้ง 5 สาขา การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ เมื่อวันที่  23 มิ.ย.ที่ผ่านมาบุคคลทั้ง 2 ท่านได้ผ่านการพิจาณาแล้ว

รมว.วธ. กล่าวอีกว่า คณะกรรมการกลั่นกรองจะนำเข้าสู่คณะกรรมการบริหารของยูเนสโก เพื่อรับรองมติในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 35 เพื่อประกาศให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นบุคคลสำคัญของโลกอย่างเป็นทางการในเดือนต.ค. กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และเมื่อยูเนสโกประกาศผลอย่างเป็นทางการแล้ว ประเทศไทยจะต้องจัดงานเฉลิมฉลองนับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2553 ซึ่งถือเป็นวันเกิดของครูเอื้อ สุนทรสนาน ในวาระครบรอบ 100 ปี จน ถึงวันที่ 21 มกราคม 2554 ด้วย ส่วนชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบุคคลสำคัญของโลกนั้นคาดว่าจะประกาศผลพร้อมกันในเดือนต.ค. และจะมีการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปีในปี 2554 ถึง 2555

"ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นผู้มีผลงานมากมาย เป็นทั้งนักร้อง นักดนตรี นักประพันธ์ทำนองที่มีผลงานเพลงมากมายหลายประเภท เช่น เพลงถวายพระพร เพลงลอยกระทง เพลงปลุกใจ เพลงสดุดี เพลงประจำจังหวัด นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย" รมว.วธ.กล่าว  จบ

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=70&nid=41058



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

2 ผู้ต้องหาค้ามนุษย์หลบหนีในขณะกำลังสอบสวน



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
 2 ผู้ต้องหาค้ามนุษย์หลบหนีในขณะกำลังสอบสวน
ข่าววันที่ 29 มิถุนายน 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ
               เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ บก.ปดส. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.00 น.  คืนวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ที่เพิ่งถูกตำรวจของ บก.ปดส.จับกุมตัวมาได้จากในพื้นที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  ก่อเหตุหลบหนีไประหว่างการสอบสวน  โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผกก.3 บก.ปดส. พร้อมกำลัง ได้จับกุมผู้ต้องหาคดีร่วมกันหลอกลวงแรงงานไปลงเรือประมงที่มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายสายัน นิลวาส อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/186 หมู่ 3 ต.หนองหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  ได้ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว ส่วนอีกรายได้จับกุมนายยุทธภูมิ หรือตึ๋ง เสาวเนียม อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49 หมู่ 8 ต.ลานสะแก อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โดยจับกุมได้บริเวณชั้น 3 สถานีขนส่งหมอชิต ถ.กำแพงเพชร แขวงและเขตจตุจักร กทม.

            ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาส่งให้ พ.ต.ท.พิชิต ทีปกากร พงส.(สบ2) กลุ่มงานสอบสวน บก.ปดส. ทำการสอบสวน โดยได้สอบปากคำนายยุทธภูมิ ก่อนเป็นรายแรกแล้วส่งตัวไปดำเนินคดี  หลังจากนั้นได้นำตัวนายสายัน  มาสอบปากคำ ปรากฎว่าระหว่างการสอบสวนนายสายัน ได้ขออนุญาตพนักงานสอบสวนออกไปสูบบุหรี่ที่ด้านหน้าอาคารกองบังคับการ  ปดส. ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องสอบสวน ซึ่งสามารถมองเห็นกันได้ตลอดเวลา   พนักงานสอบสวนเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จึงอนุญาต   ปรากฏว่าหลังจากออกไปได้ไม่นานนัก นายสายัน ก็ฉวยโอกาสดังกล่าววิ่งหลบหนีลงจากตึก  ก่อนวิ่งตรงไปทางด้านหลังอาคาร ปดส.  เข้าไปในเขตกองปราบปรามที่ตั้งอยู่ใกล้กัน  ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งของ บก.ปดส. และกองปราบปราม   เข้าเวรรักษาการณ์อยู่ที่ป้อมยามทางเข้าออก  ได้เห็นเหตุการณ์ ก็ต่างช่วยกันวิ่งไล่ตามจับกุม  แต่เนื่องจากเป็นยามวิกาล  ประกอบกับมีฝนตกหนัก ผู้ต้องหาได้ใช้เงามืดวิ่งผ่าเข้าไปในโรงจอดรถวิทยุของกองปราบ ที่ในวันหยุดมีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่น้อย  ทะลุตรงไปทางด้านหลังที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นรกครึ้ม  ทำให้ผู้ต้องหาสามารถใช้ความมืดอำพรางตัวเองได้  และก็ปีนข้ามกำแพงด้านหลังกองปราบ หลบหนีไปได้ในที่สุด   หลังเกิดเหตุทางพนักงานสอบสวนได้รีบรายงานผู้บังคับบัญชาให้ทราบ  เบื้องต้น พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบก.ปดส.ได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และสั่งการให้ให้ฝ่ายสืบสวนของ กก.3 บก.ปดส. เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้กลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุดแล้ว

http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=103&nid=41074




See all the ways you can stay connected to friends and family

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

http://sites.google.com/site/banjumrung ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์บ้านจำรุง ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์บ้านจำรุง ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง
by : jumrung
IP : (124.120.146.27) - เมื่อ : 23/06/2009 11:47 AM

สวัสดีครับ

ตอนนี้ที่บ้านจำรุง ต.เนินฆ้อ อ.แกลง มีเว็บไซต์แล้วนะครับ
มีเรื่องราวดีๆ มากมายทั้งเรื่องเล่าชุมชน ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง
มหาวิทยาลัยบ้านนอก คลิปวีดีโอชุมชนต่างๆ




เชิญแวะเยี่ยมชมได้ที่นี้
http://sites.google.com/site/banjumrung

ขอบคุณ
บ้านจำรุง



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

ผลวิจัยเผย "โจ๋ใต้" คิดฆ่าตัวตายสูง เหตุเครียดจัด ซ้ำเสี่ยงยาเสพติดเพิ่ม



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com  

วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11433 มติชนรายวัน


ผลวิจัยเผย "โจ๋ใต้" คิดฆ่าตัวตายสูง เหตุเครียดจัด ซ้ำเสี่ยงยาเสพติดเพิ่ม







ผลวิจัยพฤติกรรมเสี่ยงสุขภาพนักเรียนมัธยมภาคใต้เผยวัยรุ่นละเลยสุขภาพ พฤติกรรมเสี่ยงใช้สารเสพติด นักเรียนหญิงร้อยละ 15 มีเซ็กซ์แบบไม่คุมกำเนิด ซ้ำร้ายเครียดหนักคิดฆ่าตัวตายสูง นักวิชาการแนะผู้ปกครองใส่ใจบุตรหลานมากขึ้น

รายงานการวิจัยเรื่อง "พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและการติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้สารเสพติดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในภาคใต้" โดย รศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย และทีมวิจัยประกอบด้วยนางอุไรวรรณ พัฒนสัตยวงศ์ นางอโนชา หมึกทอง และนางสาวนิศานติ์ สำอางศรี ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สนับสนุนวิจัยโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาสุขภาพภาคใต้ (วพส.) ซึ่งเป็นการสำรวจในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1, 3 และ 5 และนักเรียนสายอาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2 โดยโครงการนี้เป็นการสำรวจซ้ำทุกปี เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2545 เพื่อสำรวจความชุกและเฝ้าระวังแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ พฤติกรรมการใช้สารเสพติดและเจตคติต่อการใช้สารเสพติดในเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในภาคใต้

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้สารเสพติดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในภาคใต้ ปีการศึกษา 2548 เก็บข้อมูลจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1, 3, 5 และ ปวช. ปี 2 รวมทั้งสิ้น 11,135 คนของโรงเรียนในจังหวัดสงขลา ปัตตานี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง และยะลา รวม 48 โรงเรียน เป็นนักเรียนชาย 4,711 คน หญิง 6,413 โดยจำแนกเป็นนักเรียนจากโรงเรียนรัฐบาล 7,994 คน โรงเรียนเอกชน 3,141 คน โรงเรียนสายสามัญ 9,013 คน โรงเรียนสายอาชีวศึกษา 2,122 โรงเรียนในเขตเมือง 7,122 คน และโรงเรียนในเขตชนบท 4,013 คน ใช้วิธีตอบแบบสอบถามให้เป็นไปตามความสมัครใจของนักเรียนโดยไม่ระบุชื่อของผู้ตอบ

ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนชาย 27% และหญิง 34% ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเวลานั่งในรถยนต์ นักเรียนหญิงทุกระดับชั้นมีอัตราการไม่สวมกันน็อคและไม่คาดเข็มขัดนิรภัยมากกว่านักเรียนชายในระดับชั้นเดียวกัน เมื่อแยกโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน 24 และ 29% ไม่เคยสวมหมวกกันน็อค 30 และ 34% ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยนักเรียนชาย 26% และนักเรียนหญิง 13% เคยดื่มแอลกอฮอล์อยู่ใน 30 วัน ก่อนตอบแบบสอบถาม โดยนักเรียนชาย 17% นักเรียนหญิง 4% เคยดื่มสุราจนเมา โดยนักเรียนสายอาชีพมีอัตราการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่านักเรียนสายสามัญ นักเรียนโรงเรียนเอกชนมีอัตราการเคยสูบบุหรี่จนหมดมวนสูงกว่านักเรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่พฤติกรรมการดื่มสุราของนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลและเอกชนมีอัตราพอๆ กัน

สำหรับพฤติกรรมทางเพศซึ่งอาจจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจและการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น นักเรียนชายหญิง 14 และ 5% เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ในจำนวนนี้นักเรียนชาย 11% และนักเรียนหญิง 15% ไม่ได้ใช้วิธีการคุมกำเนิดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด และนักเรียนชายหญิงเหล่านี้ 22 และ 9% ได้ดื่มสุราหรือใช้สารเสพติดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย นักเรียนชายและหญิง 24 กับ 12% ตอบว่าไม่เคยได้รับความรู้หรือการสอนเกี่ยวกับโรคเอดส์ หรือเอชไอวี ในโรงเรียน

ส่วนของเรื่องความรู้สึกซึมเศร้าและการพยายามฆ่าตัวตายนั้น นักเรียนชายและหญิง 14-15% เคยรู้สึกซึมเศร้า หมดหวังหมดอาลัยในชีวิตเกือบตลอดเวลาเป็นเวลานาน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน จนรบกวนการดำเนินชีวิตตามปกติ นักเรียนทั้งหมด 5-6% เคยคิดจะฆ่าตัวตายอย่างจริงจังและวางแผนวิธีการฆ่าตัวตาย และประมาณ 4-6% เคย

พยายามฆ่าตัวตายจริง นักเรียนหญิงจะมีอัตราของอาการซึมเศร้า วางแผนฆ่าตัวตายและพยายามฆ่าตัวตายสูงกว่านักเรียนชาย ในชั้นปีเดียวกัน นักเรียนระดับชั้นสูงกว่ามีอัตราของความรู้สึกและพฤติกรรมเหล่านี้สูงกว่านักเรียนชั้นเล็กกว่า

"พฤติกรรมบางอย่างของกลุ่มมัธยมศึกษาน่าเป็นห่วงมาก เรื่องความซึมเศร้าขนาดที่พยายามฆ่าตัวตายที่สูงถึง 14-15% และหลายคนเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว และอีกเรื่องคือเรื่องพฤติกรรมทางเพศที่วัยรุ่นละเลยการคุมกำเนิด และที่ร้ายกว่านั้นคือมีจำนวนไม่น้อยบอกว่าไม่เคยได้รับความรู้เรื่องเชื้อเอชไอวีจากสถานศึกษาเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากว่าตอนนี้พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพของวัยรุ่นน่าเป็นห่วง ผู้ปกครองต้องใส่ใจลูกหลานของตัวเองมากขึ้น สังเกตความเปลี่ยนแปลงให้ดีจะได้ให้คำแนะนำกับเขาได้" รศ.ดร.พญ.สาวิตรีกล่าว

แหล่งข่าวยังบอกอีกว่า ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่านักเรียนหญิงมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องติดตามเฝ้าระวังมากเป็นพิเศษ ได้แก่ อารมณ์ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ไม่สวมหมวกกันน็อคและไม่คาดเข็มขัดนิรภัย พยายามลดน้ำหนัก ไม่ค่อยออกกำลังกาย มีแนวโน้มการใช้แอลกอฮอล์และบุหรี่ ส่วนนักเรียนชายมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเกือบทุกด้านโดยเฉพาะพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บโดยจงใจ มีพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์กับคนมากกว่า 1 คนและไม่คุมกำเนิด และนักเรียนสายอาชีพ (ปวช.2) มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังมากในเกือบทุกด้าน ยกเว้นการไม่สวมหมวกกันน็อคและการชกต่อยซึ่งนักเรียนชั้นมัธยม 1 เสี่ยงมากกว่า

นอกจากนั้นพบว่านักเรียนโรงเรียนเอกชนมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังมากกว่านักเรียนโรงเรียนรัฐบาล ได้แก่ การไม่สวมหมวกกันน็อค ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ ความรู้สึกซึมเศร้า พยายามควบคุมน้ำหนักและสูบบุหรี่ พฤติกรรมเสี่ยงในนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่ การดื่มสุรา การพกอาวุธ การถูกข่มขู่ การคิดวางแผนและพยายามฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ดี อัตราการมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่นการไม่สวมหมวกกันน็อค ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย การพกพาอาวุธ และชกต่อยทะเลาะวิวาท การสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา อาการซึมเศร้า และความคิดฆ่าตัวตาย รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ มีแนวโน้มลดลงกว่าอัตราในสามปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในด้านความรู้และพฤติกรรมสุขภาพ แต่นักเรียนรุ่นนี้เคยมีประสบการณ์ใช้สารเสพติดเพิ่มมากขึ้นกว่านักเรียนรุ่นก่อนหน้านี้ สารที่นักเรียนรุ่นนี้เคยใช้และเคยเห็นของจริงมากที่สุดคือพืชกระท่อม รองลงมาคือกัญชาและยาบ้า

หน้า 26
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01290652&sectionid=0147&day=2009-06-29



Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

เรื่องเล่าของคนมีคดี

 

เรื่องเล่าของคนมีคดี

ส่งมาเมื่อ 26 มิ.ย. 2009 - 13:57:57.  หมวด: กฎหมาย  ป้าย: , ,

26 มิถุนายน 2552 เป็นอีกวันที่ต้องตื่นเช้า เพื่อเตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่ การรายงานตัวที่สำนักงานอัยการตามนัดหมายการสั่งคดี หลังจากที่เจ้าพนักงานสอบสวน(ตำรวจกองปราบ) ได้นัดหมายส่งสำนวนคดีให้กับอัยการเมื่อวันทีี่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ประสบการณ์การรายงานตัวเพื่อรับฟังการสั่งคดี รวดเร็วเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที เนื่องด้วยอัยการได้สั่งสอบข้อมูลเพิ่มเติม จึงได้เลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 29 กรกฎาคม แทน (เร็วชนิดที่เพื่อนๆที่จะตามมาเป็นเพื่อนมาให้กำลังใจมากันไม่ทันค่ะ เลยต้องเปลี่ยนเป็นการกินอาหารเช้าร่วมกันแทน)

ในฐานะที่ตกเป็นผู้ต้องหา และต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ใกล้ชิดแบบคิดไม่ถึงเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสที่จะบันทึกเป็นเรื่องเล่าและเรื่องราว เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง สำหรับท่านอื่นๆที่ต้องจับพลัดจับผลูไปอยู่เฉียด ๆ คุกตะราง

นับจากวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2552 วันยากจะลืมของตัวเองจากประสบการณ์ถูกบุกจับถึงสำนักงานประชาไท เป็นปฏิบัติการเงียบชนิดที่ตัวเองยังงง ๆ เลยว่า จากสถานะของการเป็นพยานอยู่ดี ๆ ได้แปรเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาไปเสียแล้ว ด้วยข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 15 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คือ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมา

โชคดีที่การจับกุมตัวเองได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้วเสร็จภายในสองทุ่มเศษของวันนั้นจึงไม่ต้องไปแกร่วค้างคืนในห้องขัง เนื่องจากหมดเวลาราชการและตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์พอดี ดังที่ได้ยินเรื่องเล่าในลักษณะสะเทือนขวัญมามาก (มีเพื่อนต่างชาติบอกด้วยว่า ทริคแบบนี้มีเกือบทุกประเทศ ไม่เฉพาะเมืองไทยของเรา..ฟังแล้วเศร้า)

อันที่จริงการได้สิทธิประกันตัวโดยไม่ติดเงื่อนไขระบบราชการควรเป็นสิทธิพื้นฐานปกติที่ไม่ต้องให้ผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาต้องสวดภาวนาหาโชคเป็นการพิเศษ

ผ่านไปเกือบเดือนพนักงานสอบสวนแจ้งผ่านมาทางทนายความเพื่อนัดหมายไปพบอีกครั้ง โดยทั้งทนายและตัวเองสะดวกวันที่ 7 เมษายน จึงแจ้งยืนยันว่าจะไปพบตามที่พนักงานเจ้าของคดีแจ้งมา

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเกิดอาการเข็มขัดสั้น เพราะจากที่คิดว่าคงเป็นการสอบปากคำเพิ่มเติมเท่านั้น กลับกลายเป็นแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 9 กระทง โดยสาเหตุมาจากกระทู้ในเว็บบอร์ดประชาไทจำนวน 9 กระทู้ ที่โพสต์ไว้ตั้งแต่ช่วง เมษายน-สิงหาคม 2551 และทั้งหมดก็ถูกลบออกไปนานแล้ว รวมทั้งสิ้นข้อกล่าวหาที่มีติดตัวทั้งหมดมี 10 กระทง ในข้อหาเดียวกัน (ลองนับนิ้วดูกับเพื่อน ๆ ถ้าถูกตัดสินด้วยโทษสูงสุดชนิดคูณสิบ ก็จะได้ประมาณว่าจำคุกไม่เกิน 50 ปี และปรับเต็มที่ไม่เกินล้านบาท - -" โชคดีได้ยินมาว่าเขาไม่ใช้วิธีคูณหรือบวกโทษแบบนี้)

ล่วงเลยมาอีกเดือนเศษพนักงานสอบสวนได้แจ้งผ่านมาทางทนายเพื่อจะนัดหมายส่งสำนวนคดีและผู้ต้องหา(ซึ่งคือข้าพเจ้าเอง -_-' ) ให้แก่อัยการ โดยตกลงกับทางพนักงานสอบสวนได้วันที่ตรงกับวันสะดวกผู้ต้องหา, ทนาย และที่สำคัญของอาจารย์ฉันทนา บรรพศิริโชค หวันแก้ว ผู้กรุณาเป็นนายประกันให้ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวน ได้ข้อสรุปว่าจะไปรายงานตัวให้พนักงานสอบสวนส่งมอบตัวให้อัยการแต่โดยดีในวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา

บ่ายสองโมงวันที่ 1 มิถุนายน ตัวเองพร้อมทนายความ, อ.ฉันทนา ผู้เป็นนายประกัน, พี่สาวที่เตรียมหลักฐานมาเผื่อจะต้องเป็นนายประกันสำรอง หากมีการกำหนดวงหลักประกันในชั้นอัยการเพิ่มขึ้นจากในชั้นพนักงานสอบสวน และเพื่อน ๆ ที่มาเป็นกำลังใจอีกกว่าสิบคน กระบวนการเริ่มต้นจากการไปลงลายมือชื่อเพื่อรายงานตัว พร้อมนายประกัน โดยทางสำนักงานอัยการได้ดำเนินการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอัยการ รออยู่ที่สำนักงาน(จำชื่อฝ่ายงานไม่ได้แล้ว) ที่ดูเหมือนจะเป็นด่านหน้าของการรับคดีและจ่ายคดีไปยังฝ่ายย่อย ๆ ให้ดำเนินการอีกที

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ไปติดต่อที่สำนักงานอัยการพิเศษผ่ายคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นส่วนงานที่จะรับผิดชอบในคดี  นิติกรของฝ่ายอาญา 8 รับสำนวนและดำเนินการทั้งการประกันตัว พร้อมนัดหมายเพื่อมารายงานตัวในการนัดสั่งคดี ได้ข้อสรุปว่าเป็น 9 โมงเช้า วันที่ 26 มิถุนายน 2552 กระบวนการทั้งหมดแล้วเสร็จในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอีกเช่นกัน

ก่อนหน้าวันนัดสั่งคดีหนึ่งวันได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ซึ่งอยู่แถวสนามหลวง อันที่จริงตั้งใจจะดำเนินการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้เร็วกว่านี้ แต่เนื่องจากภารกิจงานที่ติดพันทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้ลุล่วงได้เร็วกว่านี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้และยังงง ๆ อยู่บ้างกับการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากมีประสบการณ์ขลุกขลักบางประการ เพราะทันทีที่หนังสือร้องความเป็นธรรมเรียบร้อยพร้อมยื่น ตัวเองก็ได้เดินทางไปที่สำนักงานอัยการ ในฝ่ายที่รับผิดชอบคดีเพื่อยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม โดยในหนังสือระบุ "เรียน อัยการสูงสุด (ผ่านพนักงานอัยการเจ้าของคดี)" ซึ่งเจ้าหน้าที่ของฝ่ายในขณะนั้น แจ้งว่า หากยื่นถึงอัยการสูงสุด ต้องไปยื่นที่สำนักงานอัยการสูงสุด ที่อยู่ใกล้กับสนามหลวง แต่ถ้ายื่นที่นี่ต้องเป็นการยื่นตัวหัวหน้าสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 หลังจากโทรปรึกษากับทนายและเห็นว่ายังน่าจะทันเวลาทำการของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงตัดสินใจเดินทางดิ่งตรงจากอัยการที่ถนนรัชดาภิเษกสู่สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ใกล้สนามหลวง ก่อนยื่นหนังสือเพื่อให้เอกสารเรียบร้อย เดินข้ามคลองหลอด (ครั้งแรกอีกเช่นกัน ให้ความรู้สึกแปลก ๆ) มุ่งตรงสู่ 7-11 เพื่อซื้อปากกาน้ำยาลบความผิด เอ๊ยย !!! คำผิด เพื่อมาลบข้อความวงเล็บต่อท้ายในเอกสาร

บ่ายสามโมงนิด ๆ เอาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยื่น เจ้าหน้าที่ถามหาเอกสาร 'สำเนาคู่ฉบับ' ชี้ให้เจ้าหน้าที่ดู เขาก็หยิบมาประทับตรารับเรื่อง ส่งสำเนากลับคืนมาให้ ทั้งหมดเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงนาที (ไม่นับรวมการเดินทางและตามหาซื้อน้ำยาลบคำผิดอีกเกือบชั่วโมง) ก่อนที่จะมาได้รับคำชี้แจงจากนิติกรของฝ่ายคดีอาญา 8 ว่า "ยื่นที่นี่ได้ เพราะยื่นอัยการสูงสุดก็ต้องส่งมาที่อัยการเจ้าของคดีอยู่ดี" ในที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึงมืออัยการแน่ ๆ เลยถ่ายสำเนา และยื่นสำเนาต่ออัยการเจ้าของคดีอีกทางหนึ่งไว้ด้วย)

บทเรียน ผู้ต้องหา 101 พอสรุปได้คร่าว ๆ ว่า:

เบื้องต้นหากมีเจ้าพนักงานตำรวจมาแสดงตัวและแสดงหมายค้น หรือหมายจับจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอให้เจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัว การให้แสดงบัตรเป็นการป้องกันไม่ให้มีการหลอกลวงเกิดขึ้นได้ และเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าใจในสิทธินี้ย่อมไม่รู้สึกโกรธ หรือคิดว่าเป็นเรื่องไม่ไว้ใจ ในวันที่มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองท่านซึ่งเป็นผู้ดำเนินการหลักในการสอบสวนและจับกุมได้แสดงบัตรประจำตัวเจ้าที่โดยที่ไม่ต้องรอให้ถามหา และถ้าสามารถทำได้การขอให้มีทนายความมาอยู่ร่วมด้วยในระหว่างการตรวจค้น หรือจับกุม ช่วยทำให้อุ่นใจขึ้น ยังไม่รวมถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่มาเป็นกำลังใจ ก็ช่วยให้อบอุ่นใจอย่างมาก และเรื่องยาก ๆ หนัก ๆ ในวันนั้นก็ผ่อนคลาย เป็นเครื่องประกันสิ่งที่ใครบางคนพูดไว้ว่า "ความทุกข์มันแบ่งเบากันได้"

สิทธิอีกประการที่ผู้ต้องหาทุกท่านควรรู้ว่ามีคือในการสอบปากคำ ผู้ต้องหาสามารถยืนยันที่จะให้มีทนายมาอยู่ร่วมในการสอบปากคำ และยืนกรานที่จะไม่ให้ปากคำหากไม่มีทนายอยู่ด้วยได้ ที่สำคัญเป็นสิทธิที่สามารถร้องขอทนายประชาชน ซึ่งเป็นทนายอาสาที่รัฐมีหน้าที่จัดหาให้ ในกรณีที่ผู้ต้องหาไม่มีทนายของตนเอง ทั้งด้วยไม่รู้จักใคร หรือไม่มีเงินค่าทนาย

กระบวนการยุติธรรมแบ่งเป็นขั้นตอนตามลำดับ เริ่มจากขั้นพนักงานสอบสวนซึ่งดำเนินการจับกุมและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสรุปสำนวนคดีและผู้ต้องหาส่งต่ออัยการ(เข้าใจว่ามีระยะเวลากำหนดไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการจับกุมว่าต้องสรุปสำนวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้) จากนั้นพนักงานอัยการก็จะรับสำนวนคดีพร้อมรับตัวผู้ต้องหา ซึ่งก็ต้องมีการดำเนินการขอปล่อยตัวชั่วคราวใหม่ในขั้นของอัยการ ตามปกติวินิจฉัยก็จะเป็นไปในทางเดียวกับขั้นพนักงานสอบสวน รวมทั้งสามารถใช้หลักประกัน/นายประกันเดิมได้ ในขั้นของอัยการสิ่งที่ผู้ต้องหาสามารถกระทำได้ ก็คือการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากอัยการสูงสุดได้ หลังจากที่อัยการรับคดีมาจากพนักงานสอบสวนแล้ว ก็จะนัดผู้ต้องหาพร้อมนายประกันมาตามนัดการสั่งคดี จนกว่าอัยการจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด คือสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งฟ้อง หากมีการสั่งฟ้องก็จะต้องไปดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ในขั้นศาลต่อไป รวมถึงการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง

ประสบการณ์ร่วมสี่เดือนของการเป็นผู้ต้องหามีคดี ท่ามกลางวิถีชีวิตการงานที่เป็นอยู่และเป็นไปตามปกติ ตอบอย่างซื่อสัตย์กับตัวเองก็ต้องบอกว่าไม่อาจรู้สึกเป็นปกติสุข และเข้าใจชัดเจนถึงความรู้สึกของคนที่มีหนี้แบกไว้บนบ่า แต่แม้รู้สึกยากจะเป็นสุข ทว่าการทำใจยอมรับให้ได้ว่านี้คือราคาที่ต้องจ่ายของเสรีภาพ..ก็น่าจะคุ้มกัน

http://blogazine.prachatai.com/user/dialogue/post/2245

จริงหรือไม่โลกจะล่มสลายในปี 55

 
 

จริงหรือไม่โลกจะล่มสลายในปี 55

ส่งมาเมื่อ 28 มิ.ย. 2009 - 15:34:49.  หมวด: วิพากษ์  ป้าย:

ไว้เพื่อให้ดำรงชีวิตอย่างมีสติและไม่ประมาทนะคะ พวกเราคงได้แต่  ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าในการสะสมสติ สร้างบุญบารมีให้มาก ๆ นะคะ ธรรมะ ย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมค่ะ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ( พ.ศ. 2555) วันวิปโยก วินาศสันตะโร วันสุดท้ายของมนุษย์ (ที่ไม่มีศีลธรรม)

* เท่าที่เมย์รวบรวมมาเรื่องภัยพิบัติจากทั่วโลก น่าแปลกใจมาก ทำไมการทำนายหลายๆอย่างในโลก มันถึงมาตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 ( พ.ศ. 2555) เวลาที่เหลืออีกแค่ 3 ปี เหล่ามนุษย์มัวทำอะไรกันอยู่นะ ควรเร่ง ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา กันนะคะ จะหมดเวลาทำแล้วค่ะ . .. เลิกห่วงทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สิน เงินทอง รถยนต์ บ้าน มือถือ ฯลฯ ได้แล้วค่ะ เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้ เอาไปได้แค่ บุญ-บาป เท่านั้นเอง*
1. ประกาศจากองค์การ NASA วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ( พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังษีต่างๆจากอวกาศ
แล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี ( 2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังษีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ( พ.ศ. 2555)
[
อ้างอิง
กรรมจริงๆ 22 ธ.ค พ.ศ. 2555 จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันหายนะภัยพิบัติของโลก ]
2. ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวนการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวนว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวนเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก
ชาวมายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ( พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว) น่าแปลกมาก ทำไมมาตรงกับองค์การ NASA อ่ะคะ ไม่น่าเชื่ออ่ะ
[
อ้างอิง
เวรกรรม ปฏิทินของชาวมายา (ชาวเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) นั้นสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2012 ( พ.ศ. 2555) หรือวันนั้นโลกมนุษย์จะวิบัติ ]
3. นาย Gordon-Mich ae l Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต ( futurist) มีญาณทัศนะ( Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 ( พ.ศ. 2541- พ.ศ. 2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 ( พ.ศ. 2521) ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
4." หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้
[
อ้างอิง
หลวงปู

 http://blogazine.prachatai.com/user/blueflower808/post/2249