วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อยุธยายศล่มแล้ว ล่มอีก ถ่อยฉุดกระชากฉีก ชั่วช้า

วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11414 มติชนรายวัน


อยุธยายศล่มแล้ว ล่มอีก ถ่อยฉุดกระชากฉีก ชั่วช้า


คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



ที่ราบลุ่มต่ำสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา ที่ล้อมรอบพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่โบราณกาล มีคูคลองลำรางทางน้ำธรรมชาติขวักไขว่ตัดกันไปมาราวใยแมงมุมต่อเนื่องจังหวัดต่างๆโดยรอบ

คูคลองลำรางทางน้ำธรรมชาติทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นเส้นทางสัญจรคมนาคม กับเป็นแหล่งข้าวปลาอาหารให้ประชากรชาวนาสยามยุคกรุงศรีอยุธยาทั้งมวลได้มีชีวิตลมหายใจ

มรดกตกทอดเหล่านี้ยังมีสืบเนื่องให้ชาวนาปัจจุบันใช้ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวและตัวเองสืบมา

แต่ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยไม่เคยมีเรื่องราววิถีชีวิตชาวบ้านร้านถิ่น ไม่มีเรื่องราวของท้องถิ่น จึงไม่ให้ความสำคัญคูคลองลำรางทางน้ำธรรมชาติอะไรทั้งนั้น คนทั่วไปก็ไม่รู้จักมักจี่ความสำคัญ ฉะนั้นในท้องที่จังหวัด, อำเภอ, ตำบล, หมู่บ้าน จึงไม่มีป้ายชื่อบอกแม่น้ำลำคลองลำรางทางน้ำไหลผ่าน ห้วยหนองคลองบึงที่เป็นแหล่งน้ำเลี้ยงชีวิตคนในชุมชนท้องถิ่นก็ไม่มีป้ายบอกชื่อให้รู้ทั่วกัน

"บริเวณอื้อลด้วยชลธี ประดุจเกาะอสุรีลงกา" อยุธยามีน้ำล้อมรอบ แล้วมีคลองลำรางทางน้ำธรรมชาติมากมายราวใยแมงมุม ในเกาะเมืองขุดคลองคมนาคมตัดกันเป็นตารางหมากรุก แต่สถาบันการศึกษาและหน่วยงานราชการเกี่ยวข้องไม่เอาใจใส่ห่าอะไร เลยปล่อยรกร้าง เพราะมัวแต่แดกไวน์คอมมิชชั่น

แผนที่พระนครศรีอยุธยาแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ แสดงหลักแหล่งของชาวต่างชาติอยู่ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางใต้เกาะเมือง ตรงอักษร K คือที่ตั้งบ้านเรือนของพวกฮอลันดา ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ เขียนไว้ระหว่าง พ.ศ. 2230-2231 (ภาพจาก A map of the City of Siam, From la Loub?re, A New Historical Description of the Kingdom of Siam, 1693.)


แน่นอน ย่อมไม่มีประวัติธรรมชาติวิทยา ความเป็นมาของแหล่งน้ำลำรางห้วยหนองคลองบึงเหล่านั้น ทั้งๆทำไว้จะมีผลพลอยได้ทางการศึกษาและการท่องเที่ยว

ด้วยเหตุนี้เองคูคลองลำรางทางน้ำธรรมชาติห้วยหนองคลองบึงทั่วทุกแห่งโดยรอบพระนครศรีอยุธยา(และทั่วประเทศไทย)จึงรกร้างตื้นเขิน หมักหมมด้วยกองขยะสกปรกโสโครกที่เป็นผลงานของชาวบ้านชาวเมืองละแวกนั้นทำไว้ทั้งสิ้น จะขอคัดข่าวจากมติชน (วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2552 หน้า 8) มาให้อ่านดังนี้

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ท่าน้ำหน้าพระราชวังจันทรเกษมริมแม่น้ำป่าสัก จ. พระนครศรีอยุธยา ร่วมกันเปิดงานสัปดาห์รณรงค์สิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมพายเรือเก็บขยะและรณรงค์ชุมชนในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี และคลองคูเมือง อย่าทิ้งขยะลงแม่น้ำ ภายใต้โครงการคืนรอยยิ้มสู่สายน้ำ เจ้าพระยาปลอดมลพิษ ของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชาวบ้านนำเรือพื้นบ้านเข้าร่วมจำนวนมาก

กลุ่มนักกิจกรรมได้พายเรือจากปากน้ำโพ จ. นครสวรรค์ และมาแวะจัดกิจกรรมที่ จ. พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจะพายเรือผ่านกรุงเทพฯ รวมระยะทาง 350 ม. โดยพบว่า น้ำที่ปลายแม่น้ำมีคุณภาพต่ำที่สุด

ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ประสานงานคำสั่งไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 157 แห่ง ให้นำเครื่องจักรหรืองบประมาณของท้องถิ่นออกไปช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขังในพื้นที่ โดยให้เร่งขุดคลองทั้ง 16 อำเภอ ให้เป็นทางน้ำที่ใช้งานได้จริง เมื่อฝนตกลงมาและชาวนาสามารถสูบน้ำออกจากนาลงลำคลองเป็นการช่วยลำเลียงน้ำออกจากพื้นที่นาได้อีกทางหนึ่ง

คลองส่งน้ำหลายแห่งของจังหวัดที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานอยู่ระหว่างการปรับปรุงและก่อสร้างดาดคอนกรีตตลอดลำคลอง เพื่อป้องกันการพังทลายของตลิ่ง และหากทำเสร็จสิ้นจะอำนวยความสะดวกทางน้ำไหลในลำคลองง่ายต่อการบำรุงรักษา และบริหารจัดการน้ำไปให้ถึงพื้นที่การเกษตรท้ายคลอง

ประหลาดไหม? ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา แม้จะมีสถาบันอยุธยาบังหน้าไว้ ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ประชาราษฎร เช่น เรื่องลำรางทางน้ำธรรมชาติ ฯลฯ เว้นเสียแต่กิจกรรมมหรสพของคนชั้นกลางอยากเป็นผู้ดีมีตระกูลกรุงเก่า

แต่ไม่มีชีวิตและลมหายใจของไพร่บ้านพลเมืองผู้ลงแรงและเลือดเนื้อสร้างกรุงศรีอยุธยา


หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra03100652&sectionid=0131&day=2009-06-10

1 ความคิดเห็น:

  1. ดิฉันมีความเห็นว่าควรมีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นให้ชนในท้องถิ่นทราบ ได้ภาคภูมิใจ

    เมื่อท้องถิ่นภูมิใจในถิ่นที่อยู่ ความเป็นมาของตน และร่วมกันอนุรักษ์ไว้ ก็น่าจะส่งผลไปให้วัฒนธรรมของชาติได้รับการอนุรักษ์ตามไปด้วยค่ะ

    ตอบลบ