วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

World and Sustainability คน และ โลก

 
วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4102

World and Sustainability คน และ โลก


คอลัมน์ STORY

โดย ทีมงาน DLife


ข่าวการอุบัติโรคใหม่ "เชื้อไข้หวัดหมู" หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิกันที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก อาจจะเป็นเรื่องที่มนุษย์อย่างเราต้องรับมือกับการเกิดโรคสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่ธรรมดาขึ้นทุกวัน

สาเหตุสำคัญ หาใช่ใดอื่น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะโลกร้อน ที่กำลังส่งผลต่อโลกมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้วใครล่ะ ทำให้เกิด ก็ "คน" อีกนั่นแหละ ที่เป็นต้นเหตุของทั้งหลายทั้งปวง

ความพยายามในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก (sustainability world) จึงเกิดขึ้น !!!

เกิดขึ้นและแจ่มชัดเมื่อ DLife ไปเยือนญี่ปุ่น...

เริ่มต้นจาก "คน"

ญี่ปุ่นในยามนี้กำลังฮิตคำว่า "Sustainability"

เป็นคำที่มีความหมายถึงความยั่งยืน ที่ชาวอาทิตย์อุทัยเขากำลังให้ความสนใจ และนำมาผนวกกับการรักษาโลก รักษา

สิ่งแวดล้อม และการดำรงชีวิต เพราะทุกแห่งหนที่ได้ไปเยือนล้วนมีคำนี้นำหน้า

Sustainability Plant คือโรงงานอุตสาหกรรมยั่งยืนที่บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้ามุ่งมั่นและพยายามทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ทั้งหมด 12 แห่งของเขาได้ชื่อว่าเป็นโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังที่ Katsuaki Watanabe ประธานบริษัทโตโยต้า ตั้งนโยบายเพื่อความยั่งยืนเอาไว้ 3 ประการ คือ Sustainable Mobility, Sustainable Plant Initiatives, Contributing to Development of Sustainable Society

เพราะหลังจากที่ตัวเลขรถยนต์ในโลกเพิ่มเป็น 900 ล้านคัน (ปี 2008) และจะเพิ่มอีก 100 ล้านคันในอีก 5 ปี ประธานบริษัทคนนี้เขาก็ประกาศนโยบายจริงจังเพื่อลดโลกร้อน ดังเช่นที่โรงงานซึซึมิ ในเมืองนาโงญา ที่ทางโตโยต้า (ประเทศไทย) พาเราไปเยือนพร้อมกับเด็กๆ ผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลจากโครงการ "ลดเมืองร้อน ด้วยมือเรา ปี 4"

ที่นั่นเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ไฮบริด รุ่น Prius ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพนักงานทุกคน ดูเหมือนว่าพนักงานทุกคนจะภูมิใจและต่างก็อวดใครๆ ว่าทำงานอยู่ที่นี่

เพราะอะไรนะหรือ ?

ก็ตั้งแต่ก้าวเข้าไปในโรงงาน ก็ทำให้เราทึ่งกับหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งกำแพงต้นไม้ที่ช่วยทำให้ผนังโรงงานเย็นขึ้น, แผงโซลาร์เซลล์บนอาคารที่ช่วยสร้างพลังงานไฟฟ้า, การใช้สีพิเศษทาอาคารเพื่อลดปริมาณการสะท้อนของแสง, แผงโซลาร์เซลล์เป็นจุดๆ รอบโรงงาน, ต้นไม้นานาพันธุ์

นอกจากนี้ โรงงานซึซึมิยังไม่นิ่งนอนใจเรื่องการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่ได้ตกลงทำสัญญากับประเทศอื่นๆ ว่าจนถึงปี ค.ศ.2022 ญี่ปุ่นจะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 6 เปอร์เซ็นต์ เขาก็เน้นเรื่องนี้มาก ! เน้นมากเพราะ...ประเทศนี้ได้ชื่อว่าปล่อยก๊าซทำลายโลกไปไม่น้อย แถมอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เองก็เป็นรายใหญ่ซะด้วย

เขาจึงต้องช่วยกันลด โดยตั้งแต่ ค.ศ.1990-2006 โรงงานนี้สามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้ครึ่งหนึ่ง หรือเท่ากับปริมาณที่ภาคครัวเรือนปล่อยก๊าซจำนวนนี้ประมาณ 15,000 ครัวเรือน

ส่วนอีกครึ่งเขาพยายามใช้กิจกรรมอื่นๆ มาช่วย ทั้งการใช้แผงโซลาร์เซลล์ ที่ผลิตพลังงาน 2,000 กิโลวัตต์ เท่ากับพลังงานที่ใช้ใน 500 ครัวเรือน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการลดปริมาณขยะ ไม่มีการนำขยะไปฝัง, การบำบัดน้ำเสียจากโรงงานที่ทำให้น้ำสะอาดกว่าน้ำในแม่น้ำถึง 5 เท่า, มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบๆ โรงงาน โดยชาวบ้าน พนักงานช่วยกันปลูกต้นไม้, มีไบโอโทบ สร้างระบบนิเวศภายในโรงงานที่เดิมไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยสักเท่าไหร่ แต่พอมีการปรับปรุงปลูกต้นไม้ สร้างลำธาร สัตว์หลายชนิดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งด้วง, ปลาโคโจ, ปลาเมดากะ, หิ่งห้อย

จิตสำนึกที่ยั่งยืน

ไม่เฉพาะแค่สร้างโรงงานที่ยั่งยืน ญี่ปุ่นยังพยายามสร้างคนให้ยั่งยืนด้วย

ว่ากันว่า ในแดนอาทิตย์อุทัยมีสถาบันให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่า 10 แห่ง แต่ละแห่งต่างก็มุ่งเน้นสอนให้คนหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างชีวิตที่ยั่งยืนนานและมีคุณภาพในโลกใบนี้

อย่างโตโยต้าเองก็มีสถาบันสิ่งแวดล้อมโตโยต้าชิราคาวา โก ตั้งอยู่เหนือสุดของเขตปกครองจังหวัดไจฟู เอาไว้อบรมบ่มเพาะเยาวชน ประชาชน ทั้งชาวญี่ปุ่นเองและต่างชาติให้รู้จักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม โดยมีกิจกรรมเพื่อสร้างสำนึกให้เข้าร่วมมากมาย ทั้งให้ทดลองผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำ, เดินสำรวจป่าในตอนกลางคืน, เรียนรู้การดูแลรักษาป่าด้วยการตัดต้นไม้ที่ปลูกใกล้ชิดกันเกินไป เพื่อทำให้ต้นไม้เติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

น่าคิดที่พนักงานของสถาบันนี้บอกว่า...ปัญหาสิ่งแวดล้อมสมัยก่อนทำลายสุขภาพมนุษย์

แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมของสมัยนี้ทำลายโลก ทำลายสิ่งแวดล้อมของทั้งโลก หรือที่ทำให้เกิดปัญหาภาวะร้อนโลกอย่างเช่นทุกวันนี้

คิดดูแล้วกัน เขาเทียบง่ายๆ มนุษย์เรา 1 ชีวิต ต้องการต้นไม้ 376 ต้น เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา แล้วปัจจุบันมีประชากรกี่คน มีต้นไม้เหลืออยู่สักกี่ต้น ถึงจะพอดูดซับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อย ?

นอกจากชิราคาวา โก แล้ว ใน เมืองคาวาซากิ เองก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการพัฒนาในด้านสิ่งแวดล้อมที่มีพันธกิจช่วยลดภาวะโลกร้อนหลายอย่าง เมืองนี้มีประชากร 1.4 ล้านคน มีโรงกำจัดขยะ 5 แห่ง จากขยะ 2 ประเภท คือขยะจากบ้านเรือน และขยะจากโรงงานอุตสาหกรรม

สำหรับเทศบาลเมือง แม้เขาจัดการเฉพาะขยะจากบ้านเรือนก็จริง แต่สิ่งสำคัญคือความร่วมใจของชาวเมืองคาวาซากิ ที่คัดแยกขยะให้ง่ายต่อการเก็บและกำจัด คือทางเทศบาลจะวางระบบการเก็บไว้ให้ชาวบ้านรับรู้

อย่างขยะเปียก ขยะทั่วไป จะเก็บอาทิตย์ละ 3 ครั้ง, แบตเตอรี่ใช้แล้ว เก็บอาทิตย์ละ 1 ครั้ง, ขวด+กระป๋อง+ พลาสติก อาทิตย์ละ 1 ครั้ง, สิ่งของทำจากโลหะขนาดต่ำกว่า 30 เซนติเมตร เก็บเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนขยะขนาดใหญ่ จำพวกเฟอร์นิเจอร์ จักรยาน เก็บเดือนละ 2 ครั้ง และต้องมีค่าใช้จ่ายด้วย เวลาทิ้งขยะของชาวเมืองนี้ไม่ยาก เขาจะมีจุดทิ้งเอาไว้ตามชุมชนต่างๆ แล้วเจ้าหน้าที่จะไปทำการเก็บมาที่โรงงานกำจัดขยะที่สามารถรับขยะได้ 600 ตันต่อวัน จำนวนขยะที่มนุษย์เราสร้างขึ้นในแต่ละวันน่ะหรือ มีมากซะจนสูงเป็นภูเขาเลากา ไม่แพ้บ้านเราหรอก จะต่างก็ตรงวิธีการจัดการและกำจัดอย่างมีระบบมากกว่า โดยเขาไม่ทิ้งพร่ำเพรื่อ แถมขี้เถ้าที่ได้จากการเผาขยะยังมีการนำไปใช้ถมทะเล สร้างพื้นที่ให้ชาวญี่ปุ่นได้วิ่งเล่นได้อีกเยอะเชียว (พื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร ใช้ขี้เถ้า 1 ตัน)

ดังนั้น หากชาวเมืองต้องการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ก็จะต้องรักษากฎ กติกา ซึ่งเขาไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย แต่อาศัยความร่วมมือล้วนๆ ด้วยการจัดกิจกรรมอีโค คาร์บอน ชาเลนจ์ ชวนชาวประชาลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะเมืองคาวาซากิได้ชื่อว่าปล่อยสารนี้สู่ชั้นบรรยากาศถึง 2 เท่า หากเทียบกับปริมาณทั่วประเทศ 36 เปอร์เซ็นต์

ทำไมต้องแข่งลด CO2

ไม่น่าเชื่อว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์เราปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจะมากขึ้นทุกวินาที

เพราะเพียงแค่เราตัดต้นไม้, ใช้ถุงพลาสติก, เผาขยะ, ปล่อยควันพิษจากรถยนต์, มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ กิจกรรมในชีวิตประจำวันหลายอย่างของเรามีส่วนต่อการให้กำเนิดเกิดเป็นก๊าซอันตรายที่ทำลายโลกใบนี้ทั้งนั้น

ในข้อมูลจากวิกิพีเดียอ้างถึงพยานหลักฐานใหม่ๆ ที่ยืนยันได้ว่า ภาวะโลกร้อนที่ขึ้นในรอบ 50 ปี ส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ ในปี ค.ศ.2007 IPCC หรือคณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 2500 คนจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อทำงานสืบหาข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ได้รายงานว่ามีความเป็นไปได้สูงกว่าร้อยละ 90 ว่าการกระทำของมนุษย์ เฉพาะอย่างยิ่งการกระทำอันเกี่ยวกับการปล่อยปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศที่มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลก (รวมพื้นดินและมหาสมุทร) โดยตรงที่ต้องช่วยกันลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้มากก็เพราะเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น ภัยธรรมชาติต่างๆ มีแนวโน้มว่าจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่น ภัยแล้ง ไฟป่า พายุไต้ฝุ่นโซนร้อน น้ำท่วม และการพังทลายของชั้นดิน เป็นต้น บางพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล

หากลองไปย้อนดูข้อมูลจะพบว่า นับแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา พายุทรงพลังที่พัดอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกก็ปรากฏถี่ขึ้น และมีกำลังแรงขึ้นถึงร้อยละ 50 ดังที่ในปี 2004 มีพายุเฮอร์ริเคนกำลังแรงผิดปกติเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งมลรัฐฟลอริดาถึง 4 ลูก

ในญี่ปุ่นมีสถิติถูกพายุใต้ฝุ่นถล่มมากเป็นประวัติการณ์ คือในปี 2004 มีมากถึง 10 ลูก จากปกติสถิติสูงสุดเคยอยู่ปีละ 7 ลูก, ฤดูใบไม้ผลิ 2006 ออสเตรเลียถูกพายุไซโคลนระดับ 5 หลายลูกพัดเข้าถล่ม รวมถึงไซโคลนโมนิกา ที่ทรงพลังยิ่งกว่าเฮอร์ริเคนแคทรินา ริตา และวิลมา

ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากต่างยืนยันว่า น้ำอุ่นบนผิวหน้าของมหาสมุทรสามารถถ่ายทอดพลังงานความร้อนได้มากขึ้นจนก่อให้เกิดเฮอร์ริเคนที่ทรงพลังขึ้น และนั่นเป็นการยอมรับความเชื่อมโยงของภาวะโลกร้อนกับพายุเฮอร์ริเคนที่รุนแรงขึ้นและเกิดถี่ขึ้น ไม่ใช่แค่พายุนะ แต่โรคอุบัติใหม่ยังเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเชื้อโรคที่พัฒนาสายพันธุ์ไปอย่างมากขึ้น ทั้งไข้หวัดนก ซาร์ส และล่าสุดไข้หวัดเม็กซิกันที่กำลังลุกลาม
คิดดูแล้วกัน แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะไม่ค่อยดี แต่ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับยังเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นรายงานผลการศึกษาชื่อ Proceeding of the National Academy of Science ในสหรัฐของคณะนักวิจัยเรื่องปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลก คงไม่ระบุว่าปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

งานนี้ มนุษย์เราอย่าได้หวังว่าธรรมชาติจะช่วยได้ เพราะธรรมชาติเหลือน้อยจนไม่สามารถช่วยเราได้แล้ว เนื่องจากในช่วง 1955 ถึง 2000 ผืนป่าและมหาสมุทรเคยช่วยเราลดปริมาณก๊าซ CO2 ในอากาศถึง 57% แต่ตอนนี้พอทุกอย่างเหลือน้อยลง การช่วยเหลือของธรรมชาติจึงทำได้เพียงแค่ 54% หรือน้อยกว่าเท่านั้น

ในข้อมูลจากมูลนิธิกระจกเงาบอกเลยว่า หากเรายังนิ่งนอนใจ มนุษย์จะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เราก่อ

คืออัตราผู้เสียชีวิตจากโลกร้อนจะพุ่งไปอยู่ที่ 300,000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต, คลื่นความร้อนจะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น, ภาวะฝนแล้งและไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น, มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็งภายในฤดูร้อน 2050, สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์, โรคอุบัติใหม่และโรคที่เคยหายสาบสูญไปแล้วจะกลับคืนมา

..........................

"Sustainability World"

จึงไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะมองผ่านเลย

ขนาดญี่ปุ่นยังหันมามุ่งเน้น แล้วบ้านเราล่ะ อยากมีความยั่งยืนทั้งคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ?

หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป ทิ้งให้ภาวะโลกร้อนทำลายชีวิตเรา !!! :D (หน้าพิเศษ D-Life)

หน้า 5

http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02dlf03040552&day=2009-05-04&sectionid=0225


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น