วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Tobacco Free Youth

 
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4108

คอลัมน์ HEALTH


โดย เกด-ริน


Tobacco Free Youth

Tobacco Free Youth คือคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก ( 31 พ.ค.) ที่องค์การอนามัยโลกเน้นในปีนี้

แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า เยาวชนรุ่นใหม่ร่วมใจต้านบุหรี่ ซึ่งงานนี้คงต้องรณรงค์ให้หนักกันอีกหน่อย เพราะย้อนไปดูผลการสำรวจพฤติกรรม การสูบบุหรี่ของประชากรไทย พ.ศ.2550 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่เขาพบว่า แม้ตัวเลขผู้สูบบุหรี่ในปี 2550 เท่ากับ 9.48 ล้านคน ลดลงจาก ปีก่อนประมาณ 5 หมื่นคน แต่ทว่าตัวเลขการสูบบุหรี่ของเยาวชนไทยกลับเพิ่มสูงขึ้น

ความจริงที่น่าเป็นห่วง คือเยาวชนอายุ 11-14 ปี จำนวน 7,335 คน สูบบุหรี่เป็นประจำ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 38.46% กลุ่มอายุ 15-18 ปี 228,219 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.72% และกลุ่มอายุระหว่าง 19-24 ปี มีจำนวน 1,042,502 คนแน่ะ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.52%

ย้ำอีกครั้ง การสูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องเท่ เพราะนอกจากจะเสียบุคลิก ตัวเหม็น ปากเหม็น เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดแล้ว ยังมีผลให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมด้วย...แถมตอนนี้มีการขึ้นภาษี ราคมแพงขึ้นอีกเยอะเชียวดูแล้วไม่คุ้มหรอก !

คำบอกลานาทีสุดท้าย

ไม่ง่ายหรอก หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเอ่ยคำพูดสุดท้ายกับคนป่วยใกล้ตาย...ถ้าเป็นคุณล่ะ จะพูดอะไร ?

เดวิด คาสาเรท วิทยาลัยการแพทย์เพนซิลวาเนีย เจ้าของหนังสือชื่อ Last Acts บอกไว้ว่า ต่างคนต่างมีวิธีต่างไป บางคนยังยื่นกำลังใจให้สู้ต่อไป บางคนก็สรรหาคำพูดพรั่งพรูที่เชื่อว่าได้ยินแล้วสบายใจ เมื่ออยู่ไม่ไหวก็ให้ไปได้อย่างสงบ ขณะที่บางคนได้แต่สวมกอดเอาไว้โดยปราศจากคำพูดใดๆ

นักจิตวิทยากล่าวว่า ผู้ป่วยจำนวนมากเลือกใช้เวลาที่เหลืออยู่กับลูกๆ หลานๆ ขณะที่บางคนก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว ที่น่าแปลก คือบางคนยังวางแผนการใช้เงินในเดือนต่อไปอยู่เลย ซึ่งสิ่งที่ยากคือ ครอบครัวจะรับมืออย่างไร ในเมื่อต่างก็ตะขิดตะขวงใจที่จะพูดถึงความตาย ชอบดอกไม้อะไร อยากกินอะไร...แหม ! ใครจะไปกล้าพูดกันล่ะ

คำพูดสำเร็จรูปคงไม่มีมาบอก แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้พูดอะไรก็ตามอย่างที่เคยพูด ทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ พูดอย่างอ่อนโยน แต่ไม่ใช่ปลอบประโลม อาจเป็นคำพูดที่มีความหมาย เพื่อแบ่งเบาความกลัวและความวิตกกังวลระหว่างกัน อาจพูดถึงปัญหาที่ยังคั่งค้าง ผู้ป่วยหลายคนไม่ได้กลัวความตาย หากแต่ห่วงคนที่ยังอยู่

นี่แหละคำพูดดีๆ คิดไว้ล่วงหน้าก็เข้าท่า...ดีกว่าถึงวันไหนที่ต้องไปแล้วอาจเสียใจที่ไม่ได้บอกลา...

ภัยในช่องปาก

ผลสำรวจของกองทันตสาธารณสุข ปี 2549-2550 พบว่าคนไทยมีฟันผุมากถึง 83% และอีกกว่าครึ่งมีปัญหาโรคเหงือกและหินปูน...

ท.ญ.อรุณี อุ่นสุข อธิบายว่า ปัญหาในช่องปากหลักๆ มี 6 เรื่อง ตั้งแต่ "แบคทีเรียสะสม" การแปรงฟันอย่างเดียวไม่พอ เพราะฟันกินพื้นที่เพียง 25% ของช่องปาก การแปรงฟัน คือการทำความสะอาดเฉพาะผิวฟัน จึงทำให้ยังคงเหลือแบคทีเรียสะสมในส่วนอื่นๆ ส่วน "คราบหินปูน" เกิดจากแร่ธาตุในน้ำลายไปจับตัวกับคราบพลัคแล้วเกิดการตกตะกอนแข็งตัวเป็นหินน้ำลายหรือหินปูนเกาะแน่นบนผิวฟัน สามารถกำจัดได้โดยการขูดหินน้ำลายเท่านั้น ไม่สามารถกำจัดด้วยแปรงสีฟัน แต่สามารถป้องกันการเกิดหินปูนได้ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่มีส่วนประกอบของซิงก์ (zinc)

"เหงือกอักเสบ" เกิดจากแบคทีเรียในคราบพลัคที่สะสมบริเวณคอฟันปล่อยสารพิษและเอ็นไซม์มาทำลายเหงือก ทำให้เกิดการอักเสบบวมแดง หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้อาการลุกลามรุนแรงกลายเป็นปริทันต์อักเสบ ซึ่งทำให้เหงือกและกระดูกฟันถูกทำลาย ฟันโยกและสูญเสียฟันในที่สุด

สำหรับ "คราบพลัค" เกิดจากการรวมตัวอย่างหนาแน่นของแบคทีเรียสายพันธุ์ต่างๆ ผลผลิตจากแบคทีเรียมีทั้งสารเหนียวและของเสีย รวมถึงเซลล์เยื่อบุช่องปากที่หลุดออกมากลายเป็นคราบพลัค ซึ่งเมื่อมีการสะสมในปริมาณมากและนานก็จะก่อให้เกิดโรคในช่องปากอื่นๆ ตามมา

"โรคฟันผุ" คนไทยเป็นกันเยอะมาก สาเหตุจากแบคทีเรียสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดฟันผุสะสมกลายเป็นคราบพลัคย่อยสลายแป้งและน้ำตาลจากอาหารที่เรารับประทาน ก่อให้เกิดกรดมาละลายผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุในที่สุด การเติมฟลูออไรด์สู่ผิวฟันในระยะเริ่มแรกที่ฟันยังไม่เป็นรูจะป้องกันฟันผุได้

ปัญหาสุขภาพในช่องปากอย่างคราบพลัคปกคลุมลิ้น แผลในช่องปาก ฟันคุด ฟันปลอมไม่สะอาด สภาวะน้ำลายน้อย ฯลฯ เหล่านี้นำมาซึ่ง "กลิ่นปาก" นั่นเอง

ใครไม่อยากเจอภัยในช่องปาก...ขยันบ้วนปากและแปรงฟันหลังอาหารก็แล้วกัน :D

สู้ ! ริดสีดวง

ริดสีดวงทวารเกิดจากการโตขึ้นกลุ่มของเส้นเลือดและ เนื้อเยื่อบริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรง ที่เรียกว่า hemorrhoidal tissue ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่ป้องกันกล้ามเนื้อของทวารหนัก รวมทั้งหูรูดระหว่างถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ทวารหนักปิดได้สนิทในขณะที่เราอยู่เฉย

หลักๆ สาเหตุของริดสีดวงคือความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณนั้น หรือเกิดจากการเพิ่มความดันต่อกำบังลมด้านล่าง (pelvic floor) นานๆ ซึ่งการเพิ่มความดันนั้นอาจเกิดได้จากการเบ่งอุจจาระบ่อยๆ จากท้องผูก การยกของหนัก การยืนนานๆ รวมทั้งการตั้งครรภ์ เพราะการที่มีเด็กอยู่ ทำให้เลือดไหลกลับไม่สะดวก

สำหรับกรณีที่เส้นเลือดนั้นโตและยืดออก อาจเกิดจากการบาดเจ็บของเส้นเลือด อุจจาระที่แข็งมากๆ ร่วมกับการเบ่งนานๆ จะทำให้มีเลือดสดๆ ไหลออกจากทวารหนักได้

การป้องกัน ได้แก่พยายามขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่ทำให้ท้องผูก กินอาหารที่มีกาก ผัก ผลไม้ เพื่อช่วยในการขับถ่าย ดื่มน้ำมากๆ

ในความเห็นของแพทย์ ว่ากันว่าริดสีดวงไม่ได้น่ากลัวเลย อย่างมากก็เจ็บ เลือดออกส่วนใหญ่มักจะไม่มาก แต่บางกรณีที่เลือดออกมากๆ จนช็อกก็เคยมี

สิ่งที่น่าระวังก็คือเลือดออกทางทวารอาจไม่ได้เป็นริดสีดวงทั้งหมด เพราะอาการถ่ายเป็นเลือดสดนั้นอาจเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น โรคแผลที่ทวารหนัก (anal fissure) ที่น่ากลัวกว่า เช่น เนื้องอกหรือมะเร็งบริเวณลำไส้ตรง หรือทวารหนัก ฯลฯ

เอาเป็นว่า ถ้าเมื่อไรใครถ่ายเป็นเลือด อย่าอาย...รีบไปปรึกษาแพทย์โดยไว ดีที่สุด ! (หน้าพิเศษ D-Life)

หน้า 17

http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02dlf16250552&day=2009-05-25&sectionid=0225


What can you do with the new Windows Live? Find out

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น