วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

งานศพ"ป้าเหลือง"สุดเศร้าเหยื่อรถขนช้างกำไลเบรกแตกชนเขา

งานศพ"ป้าเหลือง"สุดเศร้าเหยื่อรถขนช้างกำไลเบรกแตกชนเขา

ข่าววันที่ 31 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

วันนี้(31 พ.ค.52) ที่บ้านตากลางหมู่บ้านช้าง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 119/1 บ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านของป้าเหลือง ศาลางาม อายุ 51 ปี ซึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากกรณีที่รถบรรทุกช้างพังกำไล เบรกแตก เสียหลัก ตกถนน ที่บริเวณถนนสายโนนดินแดง-ตาพระยา ช่วงขาลง ช่องตะโก อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เมื่อช่วงเช้าตรู วันที่ 29 พ.ค.52 ที่ผ่านมา
 
ที่บ้านของนางเหลือง ศาลางาม ผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้พบกับนายอุ่น ศาลางาม อายุ 52 ปี สามีของนางเหลือง ศาลางาม  ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ตำบลบางพระ อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในวันที่เกิดเหตุ ตนได้โทรศัพท์ พูดคุยกับ นางเหลือง ภรรยา ว่า ให้เดินทางมาเยี่ยม เพราะตนเองจะทำการผ่าตัด เอานิ่ว ออกจากถุงน้ำดี ในวันที่ 1 กรกฎาคม 52 ซึ่งแพทย์ได้ นัดผ่าตัดในวันดังกล่าว นางเหลือง บอกตนเองว่าจะเดินทางไปหาไปเยี่ยมและเฝ้าไข้ขณะทำการผ่าตัด พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จึงได้บอกนางเหลือง ภรรยาว่า ให้เดินทางไปด้วยรถทัวร์ และตนจะขับรถออกไปรับที่อำเภอศรีราชา แต่ภรรยา คือนางเหลืองบอกว่า ไม่ต้องขึ้นรถทัวร์ไปหรอก เพราะว่า จะมีรถบรรทุกช้าง จากหมู่บ้านตากลาง นำช้างพังกำไล เดินทาง ไปผสมพันธุ์ที่ สวนแสดงช้าง ที่พัทยา ก็จะเดินทางไปกับรถบรรทุกช้าง ที่เดินทางออกจากหมู่บ้าน และจะนำเอาหลานชายอายุ 2 ขวบ เดินทางไปด้วยเพื่อไปเยี่ยมปู่
 
ตนเองจึงตกลงว่าให้ภรรยา เดินทางมากับรถบรรทุกช้างพังกำไล ก็ได้ และให้ลงรถที่อำเภอศรีราชา ตนเองจะขับรถจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมารับ จนกระทั่งเวลา 01.00 น.ตนเองก็ได้รับโทรศัพท์ จากหลานที่เดินทางไปด้วยกันว่า รถบรรทุกช้างพังกำไล เกิดอุบัติ เบรกแตก ตกถนนอยู่ทำอำเภอตาพระยา จ.สระแก้ว จึงได้ขับรถยนต์ออกจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เดินทางมาที่บริเวณที่เกิดเหตุ พบสภาพรถบรรทุกเสียหายอย่างหนัก นางเหลือภรรยา ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอตาพระยา และเสียชีวิต ในเวลา ประมาณ 02.00 น. แพทย์แจ้งให้ทราบว่า สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากกระดูก ซี่โครงหักหลายซี่ และทีมเข้าไปในปอด  ทำให้เสียชีวิต
ขณะที่หลานชาย อายุ 2 ขวบ ที่ย่าเหลืองอุ้มไปด้วย ได้ อยู่ใน อ้อมกอดของย่าไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด นายอุ่น ยังบอกอีกว่า คนที่ร่วมเดินทางไปกับรถบรรทุกช้างพังกำไล เล่าให้ฟังว่าขณะที่รถบรรทุกช้างเบรกแตกและกำลัง วิ่งลงทางลาดชัน คนขับรถ ได้สั่งให้ ผู้ชายกระโดดลงจากรถ เพื่อไปหา ท่อนไม้หรือก้อนหิน มาหนุนล้อรถไว้เพื่อหยุดรถไว้ ไม่ให้รถวิ่งลงไป  แต่ก็ไม่ใครหาก้อนหินหรือท่อนไม้ได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มืดมาก และรถวิ่งลงไปเลื่อยๆคนที่ลงจากรถไป เพียงได้วิ่งตามหลังรถเท่านั้น ขณะที่คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับคนขับรถ ซึ่งก็มีนางเหลือง และหลานชายอายุ 2 ขวบ นั่งมาด้วย ต่างก็รู้ดีว่ารถเกิดอุบัติเหตุ พยายาม เกาะยึดกับตัวรถให้แน่น ประกอบกับรถบรรทุกช้าง มีน้ำหนักเกือบ 2 ตัน รถวิ่งลงจากเนินเขาช่องตะโก ค่อนข้างเร็ว รถเสียหลัก คนขับรถควบคุมรถไม่ได้ รถจึงพุงลงข้าง ทางชนกับเนิน รถผลิกคว่ำ ช้างกระเด็กตกออกจากตัวรถ เหล็กตัวเก๋ง ที่เป็นโครงเหล็กสำหรับบรรทุก หลุดออกจากตัวรถไปทับช่วงขาหน้าของช้างพังกำไล ได้รับบาดเจ็บสหัส ส่วนนางเหลือง ภรรยา ตนเอง ถูกแรงกระแทกอย่างแรงกับตัวรถ ทำให้กระดูกโครงหัก และทีมเข้าที่ปอด เสียชีวิต ตามที่หอบอก ส่วนหลานชายวัย 2 ขวบ ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพราะย่าอุ้มไว้ สำหรับคนอื่นๆที่นั่งมาด้วยกัน 5 คน ได้รับบาดเจ็บขาหักคนหนึ่งแขนหักคนหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
 
นายอุ่น ศาลางาม สามีของนางเหลือง ผู้วายชนม์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ตนก็เสียลูกชายคนโต ไปเนื่องจากอุบัติเหตุรถยนต์ ชนเสียชีวิต ที่บริเวณหน้าวัด ในหมู่บ้านากลาง และเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ตนเองก็มีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่อช้างพังลำดวน ตกลูกช้าง ออกมาเป็นช้างแฝดชื่อว่า จุ่ม-จิ๋ม ซึ่งช้างจุ่ม  มีชีวิตอยู่ไม่นานได้ล้มเสียชีวิต และขณะนี้ช้างจิ๋ม มีอายุ 16 ปี ซึ่งมีบริษัทเอกชนซื้อช้างเชือกที่ชื่อจิ๋ม มอบให้กับสวนสัตว์เปิดเขาเขียว และรับตนไว้ทำงานที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี จนถึงขณะนี้
 
ปัจจุบันตนเองมีช้างเหลืออยู่ 2 เชือก คือช้างพังลำดวนและพลายแหลมสิงห์ ตนเองได้ทำเรื่องขอนำช้างทั้ง 2 เชือก เพื่อเข้าร่วมโครงการนำช้างคืนถิ่น ในโครงการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา ให้เข้าร่วมโครงการ เพราะงบประมาณของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ มีน้อย ให้รอไปก่อน ซึ่งตนเองอยากนำช้างเข้าร่วมโครงการนำช้างคืนถิ่นบ้านเกิดเพราะลำบากในการดูแลช้าง ไม่ต้องการนำช้างออกไปเร่ร่อนในที่ต่างๆ หากมีหน่วยงานใดมาดูแลและให้การช่วยเหลือก็จะนำช้างเข้าร่วมโครงการ เพื่อที่จะได้เดินทางกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิด
 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=108&nid=39137

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น