| สธ.แนะเที่ยวจีนอย่างปลอดภัยไม่ติดวัณโรค-หวั่นกลายพันธุ์สู่เยื่อหุ้มสมองอับเสบ |
| โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ | 9 เมษายน 2552 14:14 น. |
 |
 | WHO ประกาศจีนป่วยเป็นวัณโรคอันดับ 2 ของโลก เตือนระวังวัณโรคดื้อยาคร่าชีวิตคนเพิ่ม ด้านกรมควบคุมโรค แนะวิธีเที่ยว-อยู่จีนอย่างปลอดภัย ป้องกันวัณโรคร้าย หวั่นติดเชื้อเอดส์กระตุ้นเชื้อวัณโรคในร่างกาย เพราะมี โอกาสตายสูง พร้อมเฝ้าสังเกตอาการเด็กเสี่ยงติดเชื้อ ก่อนวัณโรคพัฒนาสู่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ-ต่อมน้ำเหลือง วัณโรคถือเป็นโรคร้ายแรงที่ตั้งแต่อดีตได้คร่าชีวิตมนุษย์เราเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันโรคนี้ก็ยังเป็นโรคร้ายที่ยังวนเวียนอยู่ในร่างกายมนุษย์โดยไม่รู้ตัว แต่ที่น่ากลัวกว่าสุด ๆ ก็คือ ปัจจุบันได้กลายพันธุ์เป็นวัณโรคดื้อยาและเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น... จีนติดอันดับ 2 วัณโรคมากที่สุดในโลก โดยวันที่ 1-3 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่แพทย์จาก 27 ชาติ เพื่อกำหนดนโยบายต่อสู้ปัญหาวัณโรคดื้อยา ณ กรุงปักกิ่งของจีน โดยมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ได้เปรียบวัณโรคดื้อยาที่เกิดขึ้นว่าเป็นเหมือนกับระเบิดเวลา และเตือนว่าวัณโรคสายพันธุ์นี้แพร่ระบาดได้รวดเร็วที่สุดในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่ง จีนติดอันดับเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 3 อันดับแรกในโลก ร่วมกับอินเดีย และอินโดนีเซียด้วย โดยในจีนมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นปีละ 1.3 ล้านคน นับเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของยอดรวมผู้เป็นวัณโรคในโลก ข้อมูลองค์การอนามัยโลกเมื่อปี 2549 พบว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 9 ล้านราย ในจำนวนนั้นราว 490,000 ราย เป็นสายพันธุ์วัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) และราว 40,000 ราย เป็นวัณโรคดื้อยาเกือบทุกขนาน (XDR-TB) โดยผู้ป่วยวัณโรคชนิดนี้ใน 55 ประเทศ มีทางเลือกในการรักษาไม่มากนัก จึงทำให้อัตราการเสียชีวิตมีสูง อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังเปิดเผยรายงานประจำปีเมื่อครั้งประชุมที่เมืองริโอ เด จาเนโร ของบราซิล เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยว่า เอเชียมีผู้ป่วยวัณโรคมากเป็นอันดับ 1 ของโลก คือร้อยละ 55 ของผู้ป่วยทั้งหมด 9.27 ล้านคน โดยอินเดียมีผู้ป่วยมากสุดที่ 2 ล้านคน จีนมีผู้ป่วย 1.3 ล้านคน และอินโดนีเซียมีผู้ป่วย 530,000 คน ส่วนทวีปแอฟริกามีผู้ป่วยวัณโรคมากเป็นอันดับ 2 ของโลก มีผู้ป่วยวัณโรคร้อยละ 33 ของผู้ป่วยทั่วโลก ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่เตรียมการไปเที่ยว 3 ประเทศดังกล่าว แม้กระทั่ง จีน อาจจะถึงขั้นหนาวๆร้อนๆ ต่อสถานการณ์วัณโรคดื้อยาในขณะนี้? เอดส์+วัณโรคโอกาสตายสูง พญ.ศรีประพา เนตรนิยม รองผู้อำนวยการสำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สถานการณ์ของวัณโรคในปัจจุบันถือเป็นสถานการณ์ที่มีปัญหามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากที่เคยเป็นโรคที่ควบคุมได้ แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นโรคที่มีโอกาสพัฒนาจากผู้ติดเชื้อเป็นผู้ป่วย และมีคนเป็นวัณโรคดื้อยามากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์โรควัณโรครุนแรงมากขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมานั้น มี 4 ข้อสำคัญคือ 1.ปัญหาการระบาดของโรคเอดส์ หรือ HIV ที่มีมากขึ้น ทั้งนี้เพราะมีคนที่ได้รับเชื้อวัณโรคไว้ในร่างกายอยู่จำนวนมาก แต่ไม่รู้ตัว หากร่างกายของคนๆนั้นแข็งแรงดี ก็จะไม่ถึงขั้นป่วยเป็นวัณโรค แต่หากมีเชื้อวัณโรค และภายหลังได้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง เมื่อร่างกายไม่แข็งแรง เชื้อโรควัณโรคที่อยู่ในร่างกายของคนที่มีเชื้อก็จะพัฒนากลายเป็นโรควัณโรค คู่กับโรคเอดส์ ทำให้ป่วยมากขึ้น 2.ปัญหาเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า ทำให้ประเทศที่กำลังพัฒนานั้น มีคนยากจนมากขึ้น มีสังคมแออัดมากขึ้น สภาพแวดล้อมอย่างนี้ทำให้คนที่ป่วยเป็นโรควัณโรคมีมากขึ้นด้วย 3.ร่างกายอ่อนแอ โดยเฉพาะร่างกายเกิดภาวการณ์ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ภูมิต้านทานร่างกายไม่ดี 4.มีโรคอื่นอยู่แล้ว และได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยโรควัณโรคนั้น จะมีหลายระดับด้วยกัน คือการติดเชื้อ ซึ่งวัณโรคนั้นเป็นโรคติดต่อทางทางเดินหายใจ การติดเชื้อจึงเกิดขึ้นได้ง่าย แต่การติดเชื้อนั้นไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรควัณโรคทุกคน เว้นแต่คนที่ร่างกายอ่อนแอ อีกระดับคือการเป็นวัณโรคตลอดชีวิต เกิดจากเชื้อแบ่งตัวเกิดเป็นโรคขึ้นมา ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง และอาจทำให้คนป่วยถึงกับชีวิตได้หากไม่รีบรักษา หรือรักษาอย่างไม่ถูกต้อง สำหรับจีนนั้น จากสถิติคนที่ติดเชื้อในจีนจะมีอยู่ประมาณ 1 ล้านคนทั่วประเทศ และมีผู้ติดเชื้อวัณโรคดื้อยาประมาณ 1 แสนคนทั้งประเทศ เนื่องจากเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก และเป็นประเทศกำลังพัฒนา ทำให้มีคนที่ติดเชื้อวัณโรคจำนวนมาก แต่วัณโรคแม้ว่าทุกคนจะรับเชื้อได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องป่วยเป็นโรควัณโรค เด็กเล็กท่องเที่ยวระวังคนไอจาม ที่สำคัญในการที่จะติดเชื้อโรคนี้นั้น หากไปท่องเที่ยวในจีนในระยะเวลาสั้นๆ ก็จะไม่น่ากลัวเท่าไร เพราะการติดเชื้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการสัมผัสโรคกันระยะหนึ่งจนได้รับเชื้อมากพอที่จะติดได้ ซึ่งเชื้อจะอยู่ในอากาศจะถูกทำลายโดยแสงแดดอยู่แล้ว การไปท่องเที่ยวระยะสั้นๆ จึงมีโอกาสติดเชื้อวัณโรคได้น้อย แต่หากผู้ที่ต้องไปเรียนต่อหรือไปทำงานระยะยาว ก็ต้องระวังตัวหากต้องนอนห้องเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ และต้องหลีกเลี่ยงคนที่มีอาการไอ หรือจาม โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปใช้บริการทางเพศ หรือไปมีเพศสัมพันธ์ สิ่งที่น่ากลัวคืออาจจะไปติดโรคเอดส์ ขณะนี้ถือเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดในจีน มีคนตายเป็นอันดับ 1ของจีน ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์นั้นแม้ว่าจะติดแค่โรคเดียวคือโรคเอดส์ จะไม่ติดเชื้อวัณโรค แต่หากคนๆนั้นมีเชื้อวัณโรคที่ไม่แสดงอาการอยู่ในตัว ก็จะทำให้เป็นโรควัณโรคเพิ่มขึ้นมาจากโรคเอดส์ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนวิธีสังเกตว่าติดเชื้อวัณโรคแล้วหรือไม่ หากในระดับรับเชื้อเข้ามาในร่างกาย จะไม่สามารถสังเกตอาการของตัวเองได้ แม้ว่าจะนำเสมหะไปตรวจ หรือว่าเอกซเรย์ปอดก็จะไม่พบความผิดปกติ แต่จะสามารถใช้วิธีทดสอบผิวหนังโดยให้แพทย์เป็นผู้ทดสอบให้ จะพบว่ามีปฏิกิริยาว่าเคยรับเชื้อมาเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้รับความนิยมในการตรวจเว้นแต่มีอาการปรากฏ ซึ่งอาการที่ควรไปพบแพทย์คือมีอาการไอต่อเนื่องกันเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย คือ จาม มีไข้ต่ำ และเบื่ออาหาร ระวังวัณโรคเยื่อหุ้มสมอง-ต่อมน้ำเหลือง อย่างไรก็ดี สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้เด็กรับเชื้อวัณโรคไว้ด้วยว่า เด็กมักจะได้รับเชื้อจากผู้ใหญ่ที่เป็นวัณโรคระยะแพร่เชื้อ จากการไอ จาม ซึ่งในห้องที่ทึบแสงเชื้อวัณโรคอาจมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์ หรือถ้าเสมหะที่มีเชื้อลงสู่พื้นที่ไม่มีแสงแดดส่อง เชื้ออาจอยู่ได้ในเสมหะแห้งได้นานถึง 6 เดือน เชื้อจะกระจายอยู่ในอากาศ และเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจเอาเชื้อเข้าไป บางครั้งเชื้ออาจผ่านจากแม่ไปยังลูกในท้องโดยผ่านทางรกได้เช่นกัน ทั้งนี้มักเกิดกับเด็กที่มีฐานะยากจน และในชุมชนแออัด สำหรับผู้ที่รับเชื้อมาแล้วนั้น ระยะที่มีโอกาสเกิดอาการของโรคมากที่สุดคือ 2 ปีแรกหลังจากติดเชื้อ ถ้าไม่ได้รับการรักษาเชื้อจะซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ไม่ทำให้เกิดอาการของโรคถ้าร่างกายแข็งแรงดี แต่หากร่างกายอ่อนแอ หรือ ได้รับเชื้อเอดส์ หรือติดยาเสพติด เชื้อก็อาจทำให้เกิดอาการของโรคได้ ซึ่งอาจเกิดหลังจากรับเชื้อมาแล้วเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้ ขณะที่เด็กติดเชื้ออาการจะปรากฏให้เห็นได้เร็วประมาณ 1-6 เดือน หลังจากติดเชื้อ ซึ่งอาการที่จะพบได้บ่อยคือ มีต่อมน้ำเหลืองโตที่ขั้วปอด ที่คอ และที่อื่นๆ แล้วจึงพบความผิดปกติที่ปอดและอวัยวะอื่นๆ ซึ่งเด็กจะมีอาการคล้ายกับผู้ใหญ่คือ มีไข้ต่ำ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง ไอเรื้อรัง บางคนไอซ้อนๆ กันคล้ายไอกรน เด็กโตอาจมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ และหากเป็นมากอาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดด้วย นอกจากนี้เด็กยังสามารถเป็นวัณโรคเยื่อหุ้มสมองได้ โดยจะเริ่มด้วยอาการเป็นไข้ 1-2 สัปดาห์ ปวดศีรษะ อาเจียน คอแข็ง ซึมมากจนถึงไม่รู้สึกตัว บางรายอาจมีอาการชัก มีอัตราตายสูงและมีความพิการเหลืออยู่ถ้าได้รับการรักษาช้า และยังสามารถเป็นวัณโรคของต่อมน้ำเหลืองได้ด้วย โดยมักจะเป็นบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบโต และบางรายจะโตมากจนมีแผลแตกออกมา มีหนองข้นไหลออกมา เป็นแผลเรื้อรัง อาจจะลุกลามมีต่อมน้ำเหลืองโตติดๆ กันหลายเม็ดถ้าไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านวัณโรคโดยเนิ่นๆ แผลจะไม่หาย ในการรักษานั้น นอกจากการกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผู้ปกครองควรจะดูแลให้พักผ่อนและให้กินอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีวิตามิน เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรคได้ด้วย ทั้งนี้ในการไปท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ก็ควรไปในขณะที่ร่างกายแข็งแรง ไทยเป็นวัณโรคดื้อยา 2พันคน ขณะที่สถานการณ์เชื้อวัณโรคในประเทศไทย พ.ญ.ศรีประพา ระบุว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ได้รับเชื้อแล้วแต่ไม่แสดงอาการประมาณ 30% ของคนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มไม่แพร่เชื้อ มีกลุ่มผู้ติดเชื้อประมาณ 1 แสนคนทั่วประเทศ โดยเป็นคนไข้ใหม่ 9 หมื่นคน (ไม่แพร่เชื้อทุกคน) และมีผู้ติดเชื้อวัณโรคแบบดื้อยาแล้ว 2,000 คน | | http://www.khum.net/news-read/1182885 | | | | |
Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits.
Check it out.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น