เจ้าสัวซีพี "ธนินท์ เจียรวนนท์" ปาฐกถา "รวมพลัง ร่วมคิด วิกฤติไทย"
งานนี้ จัดโดย คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปรอ. 4515) ที่โรงแรมดุสิตธานี
วิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นไม่กระทบสินค้าอาหารและเครื่องใช้จำเป็น ดังนั้นไทยจำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมพร้อม เดินหน้านโยบายเชิงรุก ยกระดับสินค้าเกษตรไทย
วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เป็นอยู่ในวันนี้ ไม่ได้แตกต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่ประเทศไทยเผชิญมาก่อน ซึ่งวิกฤติครั้งนี้ผู้นำแต่ละประเทศต่างเข้าใจวิธีแก้ไขปัญหา ซึ่งเชื่อมั่นว่าแก้ไขมาถูกทางแล้ว โดยสิ่งสำคัญคือต้องไม่ให้ธนาคารล้ม ต้องพยายามช่วยเหลือธนาคารก่อน เพราะเกี่ยวข้องกับทุกธุรกิจ ซึ่งทุกประเทศต่างทุ่มเงินในการดูแล โดยสหรัฐอเมริกามีการนำเงินเข้าไปช่วยเหลือถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการช่วยเหลือไปแล้ว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา จนถึงตอนนี้วิกฤติยังไม่หยุด ซึ่งตามที่ศึกษากับผู้เชี่ยวชาญพบว่ายังมีปัญหาแต่ปัญหาเริ่มดีขึ้น โดยพบว่าปัญหาได้ผ่านพ้นไปแล้วร้อยละ 30 ยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกร้อยละ 70 หรืออาจน้อยกว่านี้ โดยสรุปเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะวิกฤติ
สำหรับในส่วนของอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ยังไม่ได้รับผลกระทบ หรือถ้ามีปัญหาก็เป็นเพียงชั่วคราวหรืองดซื้อชั่วคราวเท่านั้น ถ้ามองโดยภาพใหญ่แล้วอาจใช้เวลา 2-3 ปี แต่ในบางธุรกิจอาจใช้เวลาไม่ถึง 2-3 ปีก็จะฟื้นกลับมา ซึ่งเห็นได้จากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 11 ปีที่แล้วในปี 2540 สินค้าอุปโภคบริโภคไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากต่างประเทศยังมีค่าใช้จ่ายด้านอาหารไม่สูง สหรัฐอเมริกามีรายจ่ายด้านอาหารเพียงร้อยละ 11 ส่วนอีกร้อยละ 89 เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ส่วนยุโรปมีรายจ่ายด้านอาหารร้อยละ 14 ที่เหลือร้อยละ 86 เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะเห็นได้ว่าอาหารเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ถึงจะยากจนก็ต้องบริโภคอาหาร
นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นว่าสินค้าจำเป็นจะฟื้นเร็ว และประเทศไทยก็มีสินค้าที่จำเป็นสำหรับประจำวันต้องการใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ทั้งยางพารา อาหาร ซึ่งราคาที่ขายได้ก็เป็นไปตามราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันขึ้นราคาสินค้าเกษตรก็จะขึ้น เพราะเป็นน้ำมันบนดิน
ในการแก้ไขปัญหาเห็นว่าไทยจำเป็นต้องใช้วิธีเชิงรุก ไม่ใช่ใช้วิธีการป้องกัน เพราะถ้าใช้วิธีการป้องกันก็มีแต่เสียกับเสมอตัว ไทยต้องดำเนินนโยบายเชิงรุกและรู้ด้วยว่าต้องรุกวิธีไหน วันนี้ไทยยังเต็มไปด้วยโอกาส เพราะสินค้าเกษตรของไทยยังราคาถูกเกินไป และเหตุที่ยังยืนยันมาตลอดว่าสินค้าเกษตรของไทยราคาถูกเกินไป เพราะถ้าราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสมจริง เกษตรกรไทยก็จะไม่ยากจนเหมือนเช่นทุกวันวันนี้
ทุกประเทศทั่วโลกต่างมีรากฐานจากภาคเกษตร แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องดูแลภาคเกษตรให้มีรายได้สูง ไม่เช่นนั้นวันหนึ่งประเทศไทยจะเหมือนฟิลิปปินส์
เมื่อ 20 ปีก่อนเกษตรกรชาวไต้หวันยากจนกว่าเกษตรกรไทย 8 เท่า ส่วนเกษตรกรญี่ปุ่น ไม่ต้องพูดถึงสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วโลก เพราะว่ารัฐบาลญี่ปุ่นดำเนินนโยบายที่ถูกต้อง โดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรเทียบเท่ากับซามูไร ส่วนเกาหลีใต้นั้นใช้เวลา 27 ปี เกษตรกรเกาหลีใต้ก้าวหน้ากว่าประเทศไทย ทั้งนี้เป็นเพราะนโยบายของรัฐบาลถูกต้อง คือคำนึงถึงคนส่วนใหญ่คือเกษตรกร ถ้าเกษตรกรมีรายได้ต่ำ กำลังซื้อก็จะไม่มี เศรษฐกิจของประเทศจะเจริญได้อย่างไร และที่ผ่านมาเราต้องยกย่องข้าราชการประจำเพราะเป็นเสาหลักที่ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กรมส่งเสริมการส่งออก ที่สนับสนุนแรงงานไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศด้อยพัฒนาส่วนใหญ่ละเลยเกษตรกรที่ยากจน เกษตรกรไทยไม่ควรยากจน ควรร่ำรวยเช่นเดียวกับเกษตรกรญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน
ในปี ค.ศ.1960 ชาวไต้หวันมีเงินเดือนต่ำกว่าเสมียนของไทย 8 เท่า แต่ว่าราคาข้าวแพงกว่าไทย 3 เท่า โดยขณะนั้นข้าวสารของไทยราคากิโลกรัมละ 3 บาท แต่ข้าวสารของไต้หวันราคากิโลกรัมละ 10 บาท เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะรัฐบาลไต้หวันเห็นว่ารายได้ของเกษตรกรควรจะเท่ากับเสมียนที่ทำงานในเมือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สหรัฐอเมริกาสอนไต้หวัน เพราะเกษตรกรชาวไต้หวันมีสัดส่วนถึงร้อยละ 80-90 และไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ที่ไม่ได้เติบโตมาจากภาคเกษตร ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป ต่างมีรากฐานจากภาคเกษตรทั้งสิ้น มีคนเคยบอกว่าที่ชาวนาของญี่ปุ่นร่ำรวยเป็นเพราะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรมสามารถสนับสนุนเกษตรกรได้ ทั้งที่ ความเป็นจริงแล้วเกษตรกรต้องร่ำรวยก่อน เกษตรกรเป็นรากฐานเศรษฐกิจของชาติที่แท้จริง ต้องทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อเพื่อฉุดธุรกิจบริการให้เติบโต ถ้าสินค้าบริการเติบโตก็จะไปสนับสนุนสินค้าเกษตร
ในปี ค.ศ.1960 ฟิลิปปินส์ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนไทยรวยเป็น อันดับ 2 นักธุรกิจฟิลิปปินส์ ไทย เดินทางไปญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ต่างถูกยกย่องว่าเป็นเศรษฐี ขณะที่สิงคโปร์เทียบไม่ได้ โดยในปี ค.ศ.1958 ประเทศไทยมีรถยนต์ รถสามล้อวิ่งเต็มท้องถนน ส่วนฮ่องกงมีรถไม่กี่คัน ไต้หวันไม่มีเสื้อผ้า-ร้องเท้าใส่ วันนี้ประเทศเหล่านี้ต่างมีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้ากว่าประเทศไทยมาก ซึ่งไทยก็ยังดีกว่าฟิลิปปินส์
ในอดีตฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ส่งออกข้าว มีศูนย์วิจัยข้าว ซึ่งไทยต้องไปศึกษาทั้งเรื่องการเลี้ยงไก่ เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงสุกร แต่เพราะนโยบายของฟิลิปปินส์คล้ายกับประเทศไทย ที่เอาคนยากจนมา Subsidize คนจนในเมือง สุดท้ายคนจนทั้งประเทศ จนฟิลิปปินส์ต้องซื้อข้าว ซื้อไก่จากสหรัฐอเมริกา
ทฤษฎี 2 สูง สินค้าเกษตรสูง และรายได้สูง จำเป็นต่อการสร้างเศรษฐกิจประเทศ เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ทำไมในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศที่กำลังพัฒนา ราคาไข่ ไก่ หรือว่าหมูต่างมีราคาแพง เพราะว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงสูง กำไรน้อย ไม่มีการพัฒนาให้เป็นเกษตรก้าวหน้า ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี เมื่อเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารก็ไม่ยอมให้เงินกู้ นักธุรกิจจึงไม่ต้องการเข้ามาดำเนินการในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเวลาที่ขาดทุนรัฐบาลก็ไม่ได้ช่วยเหลือ แต่พอจะมีกำไร ภาครัฐกลับห่วงแต่ความเดือดร้อนของคนจนในเมือง และข้าราชการที่มีรายได้ต่ำ ในส่วนตัวขอยืนยัน ว่าสินค้าเกษตรของไทยมีราคาต่ำเกินความเป็นจริง เกษตรกรมีรายได้ต่ำ มีความเสี่ยงสูง กำไรน้อย เลยทำให้ยากจนลงทุกปี
ข้าราชการไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เงินเดือนประมาณ 6,800 บาท สามารถซื้อทองรูปพรรณได้ 4 บาท แต่วันนี้ซื้อทองรูปพรรณได้เพียง 50 สตางค์เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าข้าราชการไทยเงินเดือนต่ำ แต่ก็คิดเป็นร้อยละ 72 ของงบประมาณทั้งประเทศแล้วจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการได้อย่างไร ในเมื่อภาครัฐไม่มีเงินทั้งนี้เป็นเพราะนโยบายที่ตั้งรับ ไม่กล้าดำเนินนโยบายเชิงรุก ฐานภาษีก็ไม่ได้สูง มีแต่จะหดตัวต่ำลง ถ้าภาครัฐไม่ดำเนินนโยบายเชิงรุก วันข้างหน้าหากเศรษฐกิจไม่ดีภาษี ก็จะจัดเก็บได้น้อยลง ซึ่งอาจเป็นร้อยละ 90-95 จนวันหนึ่งภาครัฐอาจจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนข้าราชการ
เป็นเพราะใช้นโยบาย 2 ต่ำ จำเป็นต้องปรับให้ 2 ต่ำเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริงของตลาด สมัยนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินเฟ้อ ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินฝืด ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า เป็นห่วงว่าอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นมามีจำนวนมากกว่าเงิน เงินเฟ้อเพราะมีเงินแต่ไม่มีของให้ซื้อเงินจะกลายเป็นเศษกระดาษ แต่ถ้าเงินฝืดหมายถึงมีสินค้าแต่ไม่มีเงินจะซื้อ
ในช่วงที่น้ำมันขึ้นราคา รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย นักธุรกิจมีกำไร แต่ก็ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะเป็นการขึ้นราคาที่เร็วเกินไป เมื่อไหร่ที่น้ำมันขึ้นราคาสินค้าที่มีอยู่ใน Stock ก็จะสามารถทำกำไรได้ รัฐบาลจัดเก็บรายได้ภาษีตามเป้า แต่เมื่อน้ำมันลดราคาต่ำเร็วเกินไป ทำให้ทุกภาคธุรกิจขายสินค้าได้น้อยลง ธุรกิจเกือบทุกบริษัทขาดทุน ถ้าบริษัทไหนที่มีเงินมากก็จะกักตุนสินค้าไว้มาก ทำให้ขาดทุนมาก ต่างจากตอนที่มีกำไรจะค่อย ๆทำกำไรทีละเล็กทีละน้อย เมื่อราคาน้ำมันตกจากบาร์เรลละ 100 เหรียญสหรัฐอเมริกา มาอยู่ที่บาร์เรล 20-30 เหรียญสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจต่างมีปัญหา
ดังนั้นราคาน้ำมันสูง ย่อมดีกว่าราคาน้ำมันที่ต่ำ แต่เป็นเพราะว่าสูงเร็วเกินไป และต่ำเร็วเกินไป เมื่อราคาน้ำมันต่ำ ภาครัฐก็จัดเก็บภาษีได้น้อยลง อย่างภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ก็หายไปจากที่เคยขายได้ 100 ก็ขายได้ 50 ทำให้รายได้ภาษีหายไป จัดเก็บไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะทุกบริษัทต่างเดือดร้อนไม่มีกำไร
การท่องเที่ยว และภาคเกษตร เป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ ภาครัฐต้องสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ให้การเมืองมาสร้างปัญหา
วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาการเมือง ทำให้การท่องเที่ยวที่เคยได้ปีละ 4-5 แสนล้านบาทสูญหายไป เพราะเหตุการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจโลกทับถม การท่องเที่ยวลดน้อยลง ทั้งที่ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ไม่มีปล่องไฟ ไม่ต้องลงทุน เป็นธุรกิจที่ได้เต็ม ๆ ขณะที่การผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกแม้ว่าจะขายได้ 4-5 แสนล้านบาท แต่ก็ต้องลงทุนซื้อวัตถุดิบมาอย่างน้อยร้อยละ 85 ได้กำไรเพียงร้อยละ 10 กว่า ๆ เอง
ประเทศไทยมี 2 ตัวที่สร้างรายได้ให้กับประเทศเต็ม ๆ ตัวแรกคือการท่องเที่ยว ที่ทุกรัฐบาลต่างกระตือรือร้นซึ่งถือว่าถูกต้อง แต่ในส่วนของภาคเกษตร ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติที่สามารถขายสินค้าเกษตรให้ทั่วโลกได้ จะมีลงทุนก็เพียงในเรื่องของแทรคเตอร์ น้ำมัน ปุ๋ย จากต่างประเทศ ซึ่งไม่เกินร้อยละ 10 หากใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ เมื่อขายไปก็จะมีรายได้ถึงร้อยละ 80-90 ถ้าสินค้าเกษตรไม่ต่ำเกินไป ทำไมเกษตรกรไทยจึงยากจน
มีหลักฐานชัดเจนว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วต่างกังวลว่าสินค้าเกษตรจะราคาถูกลง แต่ในส่วนของประเทศไทยกลับกังวลว่าสินค้าเกษตรจะมีราคาแพงเกินไป กลัวว่าจะสะเทือนคนจนในเมือง ตรงนี้เห็นชัดเจนว่าประเทศที่เจริญเข้าใจและส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยี ธนาคารกล้าให้สินเชื่อ เกษตรกรมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตที่ได้จึงมีจำนวนมาก แต่มีมากดีกว่าขาด
ทั้งนี้เชื่อว่าราคาน้ำมันจะถึงบาร์เรลละ 60 เหรียญสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่บาร์เรลละ 40-50 เหรียญสหรัฐอเมริกา และน้ำมันใช้แล้วหมด ส่วนสินค้าเกษตรไม่มีวันหมด ใช้ แล้วปลูกใหม่ทดแทน หากใช้เทคโนโลยี ปุ๋ย และพันธุ์ที่มีคุณภาพ สินค้าเกษตรก็จะมีโอกาสขยายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แม้ว่าจะมีสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าสามารถขายได้แน่นอน
สมัยก่อนซี.พี.ส่งเสริมเลี้ยงไก่จำนวน 10,000 ตัว กำไรตัวละ 3 บาท เลี้ยง 2 เดือนมีกำไร 30,000 บาท เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งมีกำไร 15,000 บาท แต่ถ้าเลี้ยงไก่ 100 ตัว ต้องมีกำไรตัวละ 20 บาท เลี้ยง 2 เดือนได้เงินกำไร 2,000 บาท เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งมีกำไรเพียง 1,000 บาทเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเลี้ยงมากก็ยอมมีโอกาสได้กำไรมาก สามารถคืนหนี้เงินกู้ทั้งต้นและดอกเบี้ยได้ อีกทั้งต้นทุนในการเลี้ยงยังถูกว่า 17 บาท
ดังนั้นการที่ผลผลิตสินค้าเกษตรเพี่มขึ้น เท่ากับต้นทุนถูกลง แม้ว่าจะขายสินค้าเกษตรถูกแต่ก็ยังมีกำไร เมื่อสินค้าเกษตรมีความเสี่ยงสูง ก็ควรมีกำไรสูง มีการใช้เทคโนโลยี ก็ย่อมทำให้ธนาคารกล้าสนับสนุนให้สินเชื่อ ถึงจุดนั้นก็จะทำให้สินค้าเกษตรมีราคาถูกลง ดังนั้นรัฐบาลจะกังวลว่าทำอย่างไรไม่ให้สินค้าเกษตรถูกทั้งที่สินค้าเกษตรเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผลผลิตมีจำนวนมากบางพื้นที่ที่เคยปลูกข้าว รัฐบาลขอร้องไม่ให้ปลูก แต่รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรเท่ากับจำนวนเงินที่เกษตรกรปลูกข้าวขายได้ เพื่อไม่ให้สินค้าล้นตลาด
แนะภาครัฐลงทุนและพัฒนาระบบชลประทาน เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ปรับขึ้นราคาสินค้าเกษตรเดินหน้าผลิตเอทานอลอย่างจริงจัง จัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่ม ขึ้นราคาเอทานอล
ประเทศไทยขณะนี้มีโรงงานผลิตเอทานอลจำนวนมากแต่ว่ายังไม่สามารถเปิดเดินเครื่องผลิตเอทานอลได้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าราคาเอทานอลของไทยมีราคาถูกเกินไปเนื่องจากมีการใช้ราคาเอทานอลในบราซิลเป็นตัวกำหนด ซี.พี.ไม่ได้ทำเอทานอล การที่พูดเช่นนี้อาจทำให้มีหลายคนไม่พอใจ เพราะส่วนตัวเห็นว่าควรต้องจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น และปรับราคาเอทานอลเพิ่ม เพื่อให้ผู้ผลิตมีกำไร โดยเชื่อมั่นว่า จะทำให้พื้นที่ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง เพื่อใช้ผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้น ด้วยการนำเอาพื้นที่ที่เคยปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้งมาเป็นพื้นที่สำหรับปลูกอ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ข้าวมีราคาสูงขึ้นด้วย การทำเช่นนี้สามารถทดแทนการนำเข้าซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มการส่งออกไปในตัว
ประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันกว่า 1 ล้านล้านบาท หากใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศ 3-4 แสนล้านบาท หรือมีการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 ก็เท่ากับส่งออกมากขึ้น ถ้าเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยตลาดภายในประเทศก็จะเกิด ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นโอกาสที่ต้องให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น เพราะเกษตรกรมีรายได้ต่ำมากเกินไป หากปัจจุบันเกษตรกรมีรายได้สูง และข้าราชการมีรายได้สูง แล้วตัวเองยังเสนอ ทฤษฎี 2 สูง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด แต่ในความเป็นจริงแล้วรายได้ของเกษตรกร และข้าราชการยังอยู่ในระดับต่ำ
เมื่อมีการเสนอทฤษฎี 2 สูงทำให้หลายคนกังวลว่าจะนำเงินมาจากไหน ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วหากรัฐบาลจัดการให้ถูกต้องปัญหาเหล่านั้นย่อมหมดไป เช่นในเรื่องของข้าว ทั่วโลกมีความต้องการข้าวกว่า 400 ล้านตัน แต่ไทยส่งออกเพียง 27 ล้านตันเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมจึงจะทำให้ข้าวราคาดีขึ้นไม่ได้ แต่การที่ภาครัฐระบุจะนำข้าวใน Stock จำนวน 4 ล้านกว่าตันออกมาประมูลเพื่อส่งออก เมื่อข่าวนี้ออกไปทำให้ทั่วโลกหยุดซื้อข้าวรอจังหวะให้ราคาข้าวถูกแล้วจึงซื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลขาดทุนถึง 20,000 ล้านบาททันที วิธีที่ดีควรจะทยอยประมูลให้เงื่อนไขว่าไม่ต้องขายทันที อย่างนี้แล้วราคาข้าวจะได้ราคาดีขึ้น ไม่ต้องขาดทุน 20,000 ล้านบาท และมีการนำข้าวไปขายยังตลาดใหม่ที่ประเทศไทยยังไม่เคยไป
หากระบุว่านำข้าว 4 ล้านตันมาประมูลโดยมีเงื่อนไขให้รีบส่งออก ประกอบกับทั่วโลกประเทศที่รับซื้อข้าวมีไม่กี่ราย ไทยก็ต้องขายถูก รัฐบาลก็เสียหาย เหตุผลส่วนตัวเห็นว่าควรกักตุนข้าวไว้ 1 รอบ หรือ ประมาณ 7 ล้านตัน จากที่ส่งออก 9 ล้านตันต่อปี เนื่องจากไทยมีข้าวบริโภคใน ประเทศและส่งออก 21 ล้านตัน ถ้าไทยเก็บไว้ 7 ล้านตัน ข้าวในโลกก็จะขาดแคลนไทยก็ควรชักชวนเวียดนามกักตุนไว้ 1 รอบ หมายความว่า 1 ปีปลูกข้าวได้ 3 รอบ ๆ ละ 4 เดือน หากเก็บข้าวไว้ 4 เดือน หรือ 1 ใน 3 ก็ 7 ล้านตัน หากเกิดปัญหาความแห้งแล้ง ก็ยังมี Stock ข้าวอยู่ 4 เดือน ไม่ใช่ขายข้าวเหลือ เดือนกว่าข้าวใหม่ไม่ออก ทำให้ข้าวขาดตลาด รัฐบาลก็ไม่มีข้าวให้ผู้บริโภคเพราะว่า Stock ข้าวที่มีไม่เพียงพอ หากเก็บข้าว Stock ไว้ 7 ล้านตันก็ไม่เสียหาย ขายน้อยกำไรมากดีกว่าขายมากแต่กำไรน้อยและขาดทุน
เพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อยตั้งแต่เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า ข้าราชการ ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลาง เพราะเป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจไทย
ส่วนเงินเดือนข้าราชการก็ต่ำไป แม้ปัจจุบันจะอยู่ที่ร้อยละ 72 ของงบประมาณ ถ้าไปขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการร้อยละ 10 รัฐบาลมีเงินไม่พอ เพราะถ้าขึ้นร้อยละ 10 หรือเท่ากับ 130,000 ล้านบาทให้ข้าราชการ งบประมาณที่ใช้สำหรับเงินเดือนข้าราชการก็จะอยู่ที่ร้อยละ 82 ของงบประมาณทั้งประเทศ หากสิ่งที่กล่าวมาผิดก็ต้องขออภัยกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย เนื่องจากผมเป็นนักธุรกิจจึงเห็นว่าควรใช้วิธีรุก หากใช้วิธีตั้งรับก็จะไม่ขึ้นเงินเดือน ภาษีก็จะได้น้อยลง จนวันหนึ่งก็อาจจะไม่มีเงินไปจ่ายเงินเดือนข้าราชการ รัฐบาลเคยคำนึงถึงข้อนี้บ้างหรือเปล่า
ถ้าจ่ายเงินเดือนให้เหมือนกับที่ให้เช็ค 2,000 บาท เพราะหากขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการปีละ 100,000 กว่าล้านบาทเงินก็จะหมุนในระบบเศรษฐกิจ 5 รอบ หรือเท่ากับ 600,000 กว่าล้านบาท ตลาดภายในประเทศก็จะมีกำลังซื้อ ต้องทำ 2 เรื่อง เงินกองทุนหมู่บ้านละ 2 ล้านบาท โดยให้กับหมู่บ้านตรง ๆ เลย เพื่อให้ถึงมือเกษตรกร และให้เกษตรกรบริหารกันเองและอย่าคิดว่าจะเกิดความเสียหาย การนำเงินให้กับคนมีเงินเดือนกับเกษตรกรเงินเหล่านี้จะไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ เกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลางสามารถทำธุรกิจได้
ในเวลาเดียวกันก็ขึ้นราคาสินค้าเกษตร เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรกระตือรือร้นที่จะเพิ่มผลผลิต ภาครัฐเพิ่มการจัดเก็บภาษีน้ำมัน ขึ้นราคาเอทา นอลเพื่อให้โรงงานผลิตเอทานอล 10 กว่าโรงสามารถเปิดทำการผลิตเอทานอลสำหรับทดแทนการนำเข้าน้ำมัน สิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ รวมทั้งสนับสนุน ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ตลอดจนแม่ค้าหาบเร่ เนื่องจากฐานเศรษฐกิจของไทยที่สำคัญที่สุด คือ เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งเปรียบเหมือนปิรามิด โดยฐานรากจะมีคนเยอะที่สุด
ทั้งนี้จีนได้วิเคราะห์เศรษฐกิจว่าที่มีปัญหาร้อยละ 80 ของการจ้างงานมาจากธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลาง ส่วนที่เหลือร้อยละ 20 ของการจ้างงานมาจากธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้จีนมีมาตรการออกมามากมายเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลาง ไม่ทราบว่าตัวเลขที่จะกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่ วันนี้ธนาคารพาณิชย์มีเงินที่สามารถให้สินเชื่อได้ 10 ล้านล้านบาท
แต่ปล่อยสินเชื่อออกสู่ตลาดเพียง 6 ล้านล้านบาทส่วนอีก 4 ล้านล้านบาทนำไปซื้อพันธบัตรเก็บไว้ ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้กับนักธุรกิจ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดหนี้เสีย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีกฎระเบียบที่เข้มงวดซึ่งถือว่าถูกต้อง แต่ในวันนี้ต้องมีการผ่อนผัน โดยไม่ควรผ่อนผันมากเกินไปจนเสียวินัย ทั้งนี้รัฐบาลควรให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อกับธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลาง โดยรัฐบาลเป็นผู้การันตีความเสี่ยง
ไทยมีธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลางที่ส่งออกดี มีการจ้างงาน และเสียภาษีถูกต้อง รัฐบาลควรช่วยธุรกิจพวกนี้ เพื่อไม่ให้เลิกจ้างงาน หากคนตกงานก็จะเสียหาย 2 อย่างคือสังคมเดือดร้อน และธุรกิจที่ดีแต่เป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดีทำให้คำสั่งซื้อลดลงจนทำให้ต้องปิดโรงงาน อาจจะเป็นในช่วงสั้น ๆ ครึ่งปี หรือ 1 ปี ต้องปกป้องธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลางที่มีประวัติที่ดีอย่าให้ต้องปิดโรงงาน ด้วยการสนับสนุนเงินทุนและเงินเหล่านี้ก็จะไม่เสียหาย ถ้าใช้ทฤษฎี 2 สูง ทำให้ข้าราชการและเกษตรกรมีรายได้เพิ่ม เพื่อที่จะมีกำลังซื้อ ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลางก็สามารถขายภายในประเทศได้ เชื่อมั่นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงชั่วคราว
ช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤติ รองรับการฟื้นตัวที่จะมีขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า
อาหารการกินมีความสำคัญอันดับ 1 ส่วนของใช้จำเป็นอยู่อันดับ 2 ดังนั้นพอเศรษฐกิจโลกนิ่ง สินค้าจำเป็นจะขายได้ทันที ดังนั้นต้องเตรียมพร้อม ใช้ทฤษฎีแบบนี้ทุกวิกฤติก็ต้องมี "สว่าง" ในช่วงที่มืดต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลง สร้างตัวเองให้มีความเข้มแข็งเพื่อรอรับเศรษฐกิจฟื้น ต้องเตรียมพร้อมในตอนที่เศรษฐกิจยังแย่ และในช่วงที่เศรษฐกิจดีก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน เพราะว่าธุรกิจไม่ใช่ว่าจะดีตลอดไป เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องมีเจ็บป่วย
ในช่วงที่ดีที่สุด ก็ต้องคิดว่า ช่วงที่แย่ที่สุดจะทำอย่างไร เช่นเดียวกันในช่วงที่แย่ที่สุด ก็ต้องคิดเช่นกันว่า ช่วงที่ดีที่สุดจะทำเช่นไร ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลาง วันนี้ยังต้องอาศัยแรงงานต่างประเทศ เนื่องจากแรงงานไทยไม่เหมาะกับบางธุรกิจ ในช่วง 10 ปีนี้ไทยยังสามารถแข่งขันกับเวียดนาม และจีนได้ แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยต้องเหนือกว่าประเทศด้อยพัฒนา ดังนั้นต้องเตรียมพร้อมเพราะไม่ได้แข่งขันกับเวียดนาม พม่า หรืออินเดีย ดังนั้นต้องวางแผนเพราะในบางอุตสาหกรรมสามารถไปผลิตที่พม่า อินเดีย เวียดนามได้ ขณะที่ธุรกิจของไทยต้องมีการพัฒนาใช้ไฮเทคโนโลยี ยกระดับสินค้าไทยขึ้นไปอีกเกรดหนึ่ง
วิกฤติครั้งนี้ไทยมีเวลาไม่เกิน 1 ปี เชื่อว่าอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องฟื้นอย่างแน่นอนอย่างเร็วก็ 6 เดือน อย่างช้าก็ 1 ปี ดังนั้นรัฐบาลต้องการันตีให้ธนาคารพาณิชย์กล้าปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลางให้สามารถอยู่รอดได้ในช่วงที่ธุรกิจเหล่านี้ไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เพื่อไม่ให้มีการปลดคนงาน หรือปิดโรงงาน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายหากว่ามีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่ธุรกิจเหล่านี้กลับไม่มีคนงาน เครื่องจักรก็เป็นสนิมเพราะไม่ได้ใช้งาน
ความเสียหายจะมีมากถ้าหากคนตกงานเป็นจำนวนมาก ส่วนตัวเชื่อว่าจะอันตรายหากคนว่างงานจำนวนมาก เวลาเดินขบวนก็จะมากด้วย และยังเชื่อว่าเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการเมือง ถ้าการเมืองวุ่นวายแต่เศรษฐกิจดี มีการจ้างงานคนไม่ตกงาน การเดินขบวนก็จะลำบาก หากเกษตรกรไม่พอใจ คนตกงานจำนวนมาก ต่อให้คนที่มาบริหารประเทศเก่งแค่ไหนก็จะบริหารประเทศด้วยความยากลำบาก
ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทางการเงินให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อสู่ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลางคล่องตัวขึ้น นำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาใช้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ยังมีเงินเหลืออีกมาก แต่ว่าไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยสินเชื่อ เพราะต้องรักษาวินัยตามกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ธนาคารกลัวว่าจะเกิดหนี้เสีย และเมื่อให้สินเชื่อก็ต้องกันสำรองไว้ร้อยละ 100 หากธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้กับธุรกิจไป 1 ล้านบาทก็ต้องตั้งสำรองหนี้เสีย 1 ล้านบาท ในสถานการณ์แบบนี้ควรมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ชั่วคราว 1 ปี โดยรัฐบาลการันตีให้สามารถปล่อยสินเชื่อกับธุรกิจที่ดี ซึ่งธนาคารมีรายชื่อบริษัทเหล่านี้อยู่แล้ว หากเสียหายรัฐบาลก็เข้าไปชดเชย ซึ่งคิดว่าจะเสียหายไม่มาก
ขณะนี้ไทยมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลือ 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือเท่ากับ 3-4 ล้านล้านบาท วันนี้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีความเข้มแข็งกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หรือวิกฤติต้มยำกุ้ง เนื่องจากในขณะนั้นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทยไม่มีเหลือแถมยังเป็นหนี้ต่างประเทศอีก
วันนี้ไทยเป็นหนี้ระยะยาวของเอกชน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และเป็นหนี้ระยะยาวของรัฐบาล 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา เมื่อนำมาหักกับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศแล้วไทยยังมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสุทธิถึง 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา เงินในส่วนนี้จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ขอฝากให้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังช่วยคิดด้วย
วันนี้ไทยต้องรีบ เพราะทั่วโลกยังมองว่าไทยมีความเข้มแข็ง สามารถออกพันธบัตร กู้เงินได้ทั่วโลก ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง ไม่เหมือนกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่ตอนนั้นหมดเนื้อหมดตัว ไทยต้องเดินนโยบายเชิงรุก เพราะถ้าตั้งรับอย่างเดียวคงต้องหมดเนื้อหมดตัวอีกแน่ และถ้าปล่อยไว้ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลางก็จะล้ม จะมีการว่างงานเป็นจำนวนมากถึงตอนนั้นจะยิ่งแก้ไขลำบาก
อย่างไรก็ตามต้องพูดย้ำอยู่เสมอว่าต้องใช้ทฤษฎี 2 สูง เพราะธุรกิจไทยเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกตัดขาดกันไม่ได้ นอกจากจะปิดประเทศ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นว่าการปิดประเทศจะมีแต่คนยากจน ทางเดียวคือต้องขึ้นเงินเดือนเพิ่มรายได้ของประชาชนไทยให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและใกล้เคียงกับโลก ถ้าราคาน้ำมันบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ในสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับประเทศไทยแล้วเป็นเรื่องใหญ่ เพราะรายได้ของไทยน้อย
บริหารประเทศโดยยึดแบบอย่าง เติ้ง เสี่ยว ผิง "ไม่ว่าจะเป็นแมวดำ หรือแมวขาว ถ้าจับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี" สร้างสมานฉันท์ เพราะประเทศไทยยังเต็มไปด้วยโอกาส หากไม่แบ่งสี ไม่แบ่งพวก
ประเทศที่เจริญแล้วไม่มีประเทศไหนใช้ 2 ต่ำ ลองศึกษาประวัติศาสต์ดูได้ อย่างประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุง ที่บริหารจีน 27-28 ปี จีนเลยเป็นประเทศที่จนที่สุด และขี้เกียจที่สุด แต่เมื่อประธานาธิบดีเติ้ง เสี่ยวผิง บริหารประเทศ 30 ปี จีนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยประธานาธิบดีเติ้ง เสี่ยวผิง บอกไม่ว่าจะเป็นแมวดำ หรือแมวขาวถ้าจับหนูเป็นก็เป็นแมวที่ดี และบอกว่าในประเทศต้องไม่แบ่งเป็น 2 พวก ซึ่งการบริหารของเติ้ง เสี่ยวผิง ไม่ใช่ระบบสังคมนิยม แต่เป็นนโยบายทุนนิยมโดยให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศไม่แบ่งแยกสี มองไปข้างหน้า ให้สามัคคีกันมาช่วยกันสร้างชาติ จนทำให้จีนกลายเป็นประเทศเปิด ส่งเสริมให้ทั่วโลกเข้าไปลงทุน ในปีหนึ่งมีการลงทุนในจีนถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา จนทำให้จีนมีการเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับประเทศไทยก็ถึงเวลาแล้ว ที่ไม่ว่าใครจะเป็นแมวดำ หรือแมวขาว ถ้าจับหนูเป็นก็เป็นแมวที่ดี คนไทยต้องสามัคคี สมานฉันท์ ช่วยกันทำประโยชน์ให้กับประเทศ ซึ่งขณะนี้ไม่ถือว่าสาย เพราะการเงินการคลังของไทยยังมีความเข้มแข็ง
โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีเงินอยู่ 4-5 แสนล้านบาท แต่กลับไม่ปล่อยให้เกษตรกรกู้เงินกลัวว่าจะเป็นหนี้เสีย เพราะว่าราคาสินค้าเกษตรต่ำเกินไป ดังนั้น เมื่อมีความเสี่ยงสูง กำไรก็ต้องสูงด้วย แต่สำหรับสินค้าเกษตรของไทยความเสี่ยงสูง แต่กำไรต่ำ แล้ว อย่างนี้จะไม่ให้เป็นหนี้เสียได้อย่างไร ตอนที่เกษตรกรขาดทุนไม่มีใครพูด แต่ช่วงที่เกษตรกรจะมีกำไรกลับให้เข้าไปควบคุมราคา ทำเช่นนี้แล้วเกษตรกรจะไม่จนได้อย่างไร สุดท้ายเกษตรกรก็เลิกทำ เหลือแต่รายใหญ่ ๆ ซึ่งในที่สุดก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกันก็ต้องเลิกทำเกษตรไปเหมือนกับฟิลิปปินส์ที่วันนี้ต้องสั่งนำเข้าข้าว สั่งซื้อไก่จากต่างประเทศ
ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ดูจะพบว่าทุกประเทศล้วนมีรากฐานมาจากเกษตรกรทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น แต่เพราะประเทศเหล่านี้ดำเนินนโยบายถูกต้อง ปกป้องเกษตรกรของเขา
หากรัฐบาลใจกล้า หนี้เสียของเกษตรกรควรยกหนี้ให้หมด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่พูดไปจะมีใครกล่าวหาว่าตนเองเป็นคนหัวเอียงซ้ายหรือไม่ เหตุที่เกษตรกรเป็นหนี้เกิดขึ้นในทุกรัฐบาลที่ไม่เข้าใจ มองเฉพาะปัญหาของคนจนในเมือง แต่ลืมคนยากจนในชนบท
สำหรับรถไฟใต้ดินเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือระบบชลประทาน ที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้มีถนนไปสู่พื้นที่ทำการเกษตรอย่างแท้จริงไม่เฉพาะถนนที่เป็นทางเข้าหมู่บ้าน หากใช้พื้นที่ 25 ล้านไร่ลงทุนระบบชลประทาน 300,000 ล้านบาท เชื่อมั่นว่าภายใน 5 ปีได้ทุนคืนแน่นอน พื้นที่ปลูกข้าว 67 ล้านไร่นำมาลงทุนทำระบบชลประทาน 25 ล้านไร่ ไม่มีความเสี่ยง ผลผลิตจะสูงขึ้นเท่ากับการปลูกข้าวในพื้นที่ 67 ล้านไร่ ส่วนอีก 42 ล้านไร่ที่ไม่มีระบบชลประทานไปปลูกยางพารา ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อย ปลูกข้าวโพดปีละ 1 รอบ การปลูกมันสำปะหลังหากปลูกดี ๆ มีการไถดินให้ลึก ใส่ปุ๋ย พื้นที่ 1 ไร่ก็จะให้ผลผลิตถึง 10 ตันไม่ใช่แค่ 4-5 ตัน และในบางพื้นที่สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 15-20 ตันเลย ทั้งนี้หาก 1 ไร่ให้ผลผลิต 10 ตัน ราคาที่กิโลกรัมละ 2 บาทก็จะมีกำไรถึง 20,000 บาทความเสี่ยงน้อย ดีกว่าปลูกข้าว
ตนเองมองว่าประเทศไทยยังเต็มไปด้วยโอกาส ที่พูดไม่ใช่ว่าเป็นคนไทยแล้วจะเชียร์ประเทศไทยอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าการเงินการคลังของไทยยังมีความเข้มแข็ง ไม่เหมือนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ถ้าปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรเลยจะมีแต่แย่ลงและจะไม่เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะลามไปจนทำให้การเมืองมีปัญหา
เหตุการณ์ที่เกิดกับประเทศไทยครั้งนี้ เท่าที่ฟังจากต่างประเทศต้องยกย่องทหารและตำรวจที่ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีปฏิวัติ ส่วนตัวแล้วต้องการเห็นความสมานฉันท์ทุกฝ่ายหันหน้าคุยกัน อะไรที่เคยมีปัญหากันก็ควรยกเลิก แล้วมาตั้งหลักใหม่ให้ความเป็นธรรม ไม่แบ่งสีแบ่งพวก เพราะเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเต็มไปด้วยโอกาส
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1241763672&grpid=01&catid=05
Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.
 


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น