วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

“มหัศจรรย์ลูกปัด สมบัติใต้ผินดิน บอกอะไรเราบ้าง?”

วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 10:46:32 น.  มติชนออนไลน์

"มหัศจรรย์ลูกปัด สมบัติใต้ผินดิน บอกอะไรเราบ้าง?"





เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า 'ลูกปัด' เม็ดสีหลากรูปทรงที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์มนุษย์ในสุวรรณภูมิยุคเก่าก่อน มาจนถึงปัจจุบัน สามารถสะท้อนภาพความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของมนุษย์เอาไว้ได้อย่างสวยงาม

จากกระแสการตอบรับและการพูดถึงหนังสือ "รอยลูกปัด" ที่ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มชนคนรักลูกปัดอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณสมบัติของลูกปัดที่มีสถานะหลากหลายทั้งเครื่องประดับ, โบราณวัตถุ หรือแม้แต่เครื่องรางของขลัง จึงทำให้เรื่องราวของลูกปัดมีมิติที่กว้างให้เราได้รู้จัก ศึกษา เรียนรู้ถึงคุณค่าต่อความสัมพันธ์กับมนุษย์ในยุคประวัติศาสตร์หลากหลายสมัย และเป็นหลักฐานพยานวัตถุของแผ่นดินทางด้านประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เก็บไว้เพื่อประกอบการศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้กันต่อไปอย่างไม่รู้จบ
 
ทั้งนี้ สำนักพิมพ์มติชนได้จัดงานเสวนาภาษาคนรักลูกปัดขึ้นในหัวข้อ "มหัศจรรย์ลูกปัด สมบัติใต้ผืนดิน บอกอะไรเราบ้าง" โดย น.พ.บัญชา  พงษ์พานิช ผู้เขียนหนังสือ รอยลูกปัด และดำเนินรายการโดย พิพัฒน์  วิทยาปัญญานนท์  

หลายคนคงคุ้นภาพคุณหมอบัญชา  พงษ์พานิช ในฐานะลูกศิษย์ท่านพุทธทาส ผู้ขับเคลื่อนในการจัดตั้ง "หอจดหมายเหตุพุทธทาส  อินทปัญโญ" หรือ "สวนโมกข์กรุงเทพฯ" นักอนุรักษ์ท้องถิ่น นักประวัติศาสตร์โบราณคดีภาคประชาชน และอีกมุมหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนจะค่อยๆ คุ้นเคยมากขึ้นคือ ในฐานะ "คนรักลูกปัด"

ด้วยความสนใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น กระทั่งได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิช่วงปลายปี  2547 ทำให้คุณหมอทราบว่าพี่น้องชาวใต้มีความผูกพันกับลูกปัดเป็นอย่างมาก ทั้งเก็บรักษาและสวมใส่กันอย่างแพร่หลาย จึงได้เข้าไปสอบถามและทราบอีกว่า ลูกปัดเหล่านี้ชาวบ้านนำมาจากในสวน ใต้ถุนบ้าน ลานหน้าบ้าน  หรือแม้แต่ภายในบริเวณบ้านของตนเอง  ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าลูกปัดอยู่คู่กับวิถีชีวิตชาวใต้มานานหลายสิบปีเลยก็ว่าได้ โดยคุณหมอเองเริ่มสนใจและศึกษาเรื่องราวของลูกปัดหลังเหตุการณ์สึนามิภาคใต้จบลงใช้เวลาราว 4 ปีในการศึกษาค้นคว้ารวบรวม โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อเก็บไว้ประกอบการศึกษา ค้นคว้า ให้คนรุ่นหลังเห็นคุณค่า เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าเรียนรู้กันต่อไป

ไฮไลท์สำคัญของงานนี้เห็นทีจะเป็น การจัดแสดงลูกปัดโบราณของจริง ที่หาชมได้ยาก ซึ่งผู้เข้าฟังเสวนาต่างให้ความสนใจอย่างมาก โดยงานเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นภายหลังที่สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์หนังสือ "รอยลูกปัด" ผลงานระดับสากลโดยฝีมือคนไทย รวบรวมภาพลูกปัดโบราณที่บอกเล่าเรื่องราวบรรพชนในอดีตผ่านลูกปัดต่างเม็ดสีหลากรูปทรงไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ออกสู่สายตานักอ่านทั่วประเทศไปแล้ว

สำหรับลูกปัดเม็ดสำคัญซึ่งอยู่บนหน้าปกหนังสือ "รอยลูกปัด" ที่คุณหมอกล่าวถึงคือ ลูกปัดดอกบวบ ทำมาจากโกเมนสีแดง นักประวัติศาสตร์บอกว่ารูปทรงนี้เป็นรูปทรงของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีการผลิตกันอย่างแพร่หลายในเกาะฟิลิปปินส์ และชายฝั่งเวียดนาม อายุประมาณ 2,000 ปี , ลูกปัดแก้วโมเสก ชาวบ้านเรียกว่านกยูงดอกหญ้า ผลิตจากแก้วโมเสก แพร่หลายมากในยุคโรมันตอนปลาย, ลูกปัดอำพันทอง ทำมาจากจากแก้วภายในบรรจุทอง พบที่ภาคใต้ของประเทศไทยเป็นจำนวนมาก,

ลูกปัดสุริยเทพ  หลายฝ่ายตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจมีการผลิตสุริยเทพที่ภาคใต้ของไทย สังเกตได้จากกระบวนการผลิตยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ประกอบกับข้อมูลจากนักโบราณคดีพบว่าไม่เคยพบลูกปัดสุริยเทพลักษณะนี้ที่ใดมาก่อน นอกจากที่คลองท่อมเท่านั้น โดยพบประมาณ 40 -50 เม็ด ด้วยลักษณะเป็นแก้วจึงสันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะผลิตที่ อเล็กซานเดรีย บริเวณปากแม่น้ำไนล์

 แต่จากการศึกษาที่อเล็กซานเดรีย ไม่พบว่ามีลูกปัดลักษณะเช่นนี้ ล่าสุดคุณหมอเจมส์ แลงค์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านลูกปัดและแก้วโบราณพบลูกปัดสุริยเทพบริเวณกลางทะเลทรายในแคว้นซินเจียง ซึ่งเดิมเป็นเส้นทางสายไหม ลูกปัดสุริยเทพจึงเชื่อมโยงจากคลองท่อมไปถึงซินเจียงได้, ลูกปัดรูปร่างคล้ายหัวจระเข้ สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าเป็นหัวมังกร สัตว์ในเทพนิยาย แพร่หลายมาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน และเผยแผ่เข้ามาแพร่หลายหลายมากในอินเดียเมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา พบมากที่ อ.ท่าชนะ, ลูกปัดแมงมุม  ส่วนนักโบราณคดีเรียกว่า ตรีรัตนะ หมายถึงสัญลักษณ์แห่งพระรัตนตรัย ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอินเดียยุคหลังพระเจ้าอโศก พบจำนวนมากที่สถูปศานจี เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เมื่อราว พ.ศ 400-500 ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่าตรีรัตนะคือ สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา มีการใช้อย่างแพร่หลายก่อนมีพระพุทธรูป ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าผู้คนในดินแดนนี้เคยนับถือพระพุทธศาสนา ในภาคใต้พบลูกปัดชนิดนี้ 3 แห่ง คือ เขาสามแก้ว , อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ,ภูเขาทอง และบางกล้วย จ.ระนอง

สำหรับคำถามที่หลายคนสงสัยว่าใครกันเป็นผู้ค้นพบหรือผลิตลูกปัดขึ้นมานั้น คุณหมอคาดว่า เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา พ่อค้าอินเดียเดินทางเข้ามายังประเทศไทยและพักที่บริเวณนี้ จึงตั้งโรงงานผลิตที่บริเวณภาคใต้เพื่อส่งลูกปัดไปยังเมืองจีน โดยศูนย์กลางการผลิตลูกปัดมีประมาณ 4 แห่ง คือ ลุ่มแม่น้ำสินธุ ประเทศอินเดีย , ประเทศปากีสถาน , เขตเมโสโปเตเมีย บริเวณลุ่มแม่ไทกริส-ยูเฟรทิส ประเทศอียิปต์ และบริเวณรอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  และจากหลักฐานที่ค้นพบแสดงให้เห็นว่าคาบสมุทรไทยเป็นแหล่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลกมีการค้นพบหรือผลิตลูกปัด

คุณหมอยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในละครเกาหลีเรามักจะเห็นขุนนางใส่หมวกที่ตกแต่งด้วยลูกปัด เพราะนั่นอาจหมายความถึงลูกปัดคือเครื่องบอกชั้นยศตำแหน่งก็เป็นได้ และขุนนางแต่ละชั้นยศตำแหน่งก็จะตกแต่งด้วยลูกปัดต่างเม็ดสีต่างชนิดกัน ทั้งลูกปัดอเกต ลูกปัดคาร์เนเลียน ลูกปัดอำพันทอง ฯลฯ หรือแม้แต่ในสุสานของกษัตริย์ราชวงศ์ชินลา,แพกเจและโคริโอของเกาหลี ก็พบลูกปัดนับหมื่นเม็ดเช่นกัน และมีลักษณะคล้ายกันมากกับลูกปัดที่พบในประเทศไทย 
 
นอกจากนั้นคุณหมอยังได้เล่าสมมุติฐานที่พบไว้ในหนังสือ "รอยลูกปัด" โดยแบ่งออกเป็น 5 บทสำคัญ ผ่านสำนวนการเล่าเรื่องที่ผสานข้อมูลเชิงวิชาการกับข้อมูลจากการลงพื้นที่จริง นับได้ว่าเป็นสารคดีเรื่องเยี่ยมที่จะพาผู้อ่านเดินทางร่วมค้นหาและไขปริศนาแห่งลูกปัด คำตอบเล็กๆ ที่ไขความลับสู่สุวรรณภูมิอันยิ่งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1241754451&grpid=01&catid=08

Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น