วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตรอกวังหลัง

วังหลัง

วังหลัง ปัจจุบันเป็นชื่อย่านค้าขายริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราชยาวมาจนถึงวัดระฆังโฆสิตาราม มีสินค้าหลากหลายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ รวมไปถึงอาหารการกินอีกมากมาย

กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ในสมัยรัชกาลที่ 1
แม้วังหลังจะเป็นตลาดยอดนิยม มีผู้คนพลุกพล่านทุกวัน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว วังหลังคือชื่อเรียกพระราชวังที่ประทับของ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือ กรมพระราชวังหลัง ซึ่งตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนี้ถือเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญในด้านการปกครองเป็นอันดับที่ 3 รองลงมาจาก พระมหากษัตริย์ หรือ วังหลวง และ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า อันเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนี้พระมหากษัตริย์มักโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยรองลงมาจากองค์รัชทายาท

ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยกรุงศรีอยุธยา ตำแหน่งพระราชวังของพระองค์ตั้งอยู่ริมพระนครด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นด้านหลังของพระราชวังหลวงในสมัยนั้น ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "วังหลัง" ส่วนตำแหน่งที่ตั้งพระราชวังของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตั้งอยู่หน้าวังหลวง จึงเรียกกันว่า "วังหน้า" นั่นเอง

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) โปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ พระโอรสของ สมเด็จพระพี่นางเธอ กรมพระยาเทพสุดาวดี เป็นกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขพระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ มีที่ตั้งพระราชวังอยู่ที่ตำบลสวนลิ้นจี่ ปากคลองบางกอกน้อย หรือฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยากับพระราชวังหน้า ส่วนบริเวณถัดจากพระราชวังหลังลงมาทางด้านใต้เรียกว่าตำบลสวนมังคุด เป็นที่ประทับของกรมพระยาเทพสุดาวดี และถัดลงมาอีกจนติดกับพระราชนิเวศน์เดิมของรัชกาลที่ 1 เรียกว่าตำบลบ้านปูน เป็นที่ประทับของ พระองค์เจ้าขุนเณร พระอนุชาต่างพระมารดาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ชาวบ้านจะเรียกพื้นที่บริเวณนี้รวมๆ ว่า ย่านวังหลัง และในปัจจุบันแม้พระราชวังต่างๆ จะสูญหายกลายสภาพเป็นพื้นที่ตลาดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังคงเรียกว่าย่านวังหลังอยู่เช่นเดิม

นอกจากตลาดแล้วในย่านวังหลังยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น

พระราชวังบวรสถานพิมุข (พระราชวังหลัง)

กำแพงวังสวนมังคุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
แบ่งออกเป็น 4 วัง คือ พระราชวังที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข อยู่ทางทิศเหนือสุด ติดกับปากคลองบางกอกน้อย ซึ่งต่อมาหลังเมื่อกรมพระราชบวรสถานพิมุขทิวงคตแล้ว พระอัครชายาคือ เจ้าครอกข้างใน ได้ประทับอยู่กับเชื้อพระวงศ์ คือ พระองค์เจ้าหญิงกระจับ พระองค์เจ้าหญิงจงกล และ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็กสุด พระองค์เจ้าปฐมวงศ์นี้เองที่ทรงชุบเลี้ยง สุนทรภู่ เป็นมหาดเล็ก ทำให้สุนทรภู่เติบโตขึ้นในวังหลัง ก่อนที่ชีวิตจะหักเหจนกลายมาเป็นมหากวีเอกของไทย

ส่วนอีก 3 วัง เรียงลงมาทางใต้ เป็นที่ประทับของพระโอรสที่เจริญพระชันษาพอสมควรแล้วทั้ง 3 พระองค์ คือ กรมหมื่นนราเทเวศร์ ประทับอยู่วังด้านใต้สุด เรียกกันว่า วังใหญ่ กรมหมื่นนเรศร์โยธี ประทับอยู่วังถัดขึ้นมา เรียกว่า วังกลาง และ กรมหมื่นเสนีบริรักษ์ ประทับอยู่วังเหนือขึ้นมา เรียกกันว่า วังน้อย

แต่ภายหลังเมื่อพระโอรสทั้ง 3 พระองค์ของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขสิ้นพระชนม์ ก็เหลือแต่เจ้านายผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ จนไม่มีบทบาททางการเมืองใดๆ เท่ากับสมัยก่อน และไม่มีการสถาปนากรมพระราชวังหลังพระองค์ใหม่ขึ้นอีก วังต่างๆ จนทรุดโทรมลงตามลำดับ จนกระทั่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีพระราชดำริว่าวังหลังสภาพทรุดโทรมมาก เก็บไว้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด ขณะนั้นมีพระราชประสงค์จะสร้างโรงพยาบาลช่วยเหลือคนยากจน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่ย่านวังหลังส่วนหนึ่งไปสร้างเป็น โรงพยาบาลศิริราช นั่นเอง

ปัจจุบันวังในย่านนี้ทางส่วนเหนือกลายเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟธนบุรี ส่วนตรงกลางเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช และส่วนใต้เป็นบ้านเรือนราษฎรรวมทั้งที่ดินของคนตระกูลเสนีวงศ์และปาลกะวงศ์ ซึ่งสืบราชสกุลมาจากพระโอรสของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขในรัชกาลที่ 1 โดยในส่วนใต้นี้ยังพอหลงเหลือร่องรอยของวังปรากฏเป็นกำแพงส่วนหนึ่งของวังสวนมังคุดให้เห็นอยู่บริเวณสุดตรอกวังหลังที่เชื่อมต่อไปยังวัดระฆังโฆสิตาราม


ศิริราชพยาบาล


ศิริราชพยาบาล หรือ โรงพยาบาลศิริราช ในสมัยก่อนว่า โรงพยาบาลวังหลัง เกิดขึ้นได้จากพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อราษฎรผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยแต่ไม่มีเงินทองมากมายในการรักษา จึงทรงแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการโรงพยาบาลขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2429 และได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงิน 16,000 บาท เพื่อก่อสร้างโรงเรือนขึ้นในบริเวณย่านวังหลัง ให้ใช้เป็นที่พยาบาลผู้ป่วย

แต่ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2430 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ได้ประชวรเป็นพระโรคบิด และสิ้นพระชนม์ลงในขณะที่มีพระชนม์เพียง 1 ปี 7 เดือน รัชกาลที่ 5 ทรงทอดพระเนตรเห็นความทรมานของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ทั้งที่ทรงรับการถวายการรักษาเป็นอย่างดี ก็ทรงเล็งเห็นถึงความลำบากของราษฎรยากจนที่ไม่มีหมอรักษามากยิ่งขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระเมรุสำหรับถวายพระเพลิงพระศพเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์เป็นพิเศษ โดยออกแบบเป็นโรงเรือนสำหรับใช้เป็นโรงพยาบาลได้ด้วย และสร้างด้วยเครื่องไม้จริงทุกอย่างเพื่อให้ใช้การได้จริง เมื่อเสร็จการพระเมรุแล้วก็โปรดเกล้าฯ ให้รื้อออกมาต่อเติมโรงเรือนรักษาพยาบาลที่สร้างขึ้นก่อนหน้านั้นให้เป็นโรงพยาบาล แล้วพระราชทานนามว่า โรงศิริราชพยาบาล เปิดให้บริการประชาชนทั่วไปได้ใช้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2431

ในปัจจุบันโรงพยาบาลศิริราชก็ยังเป็นโรงพยาบาลของรัฐบาลที่เป็นที่พึ่งของคนเจ็บป่วยที่ดีที่สุดที่หนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากมีแพทย์และพยาบาลที่มีความสามารถอยู่เป็นจำนวนมาก และคิดค่ารักษาพยาบาลที่ถูกมากสำหรับผู้ป่วยที่ยากจนจริงๆ และยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล จัดการการเรียนการสอนในสาขาวิชาการแพทย์และพยาบาลขึ้นภายในโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งบุคลากรที่โรงพยาบาลศิริราชได้ผลิตออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ได้ออกมาทำหน้าที่รับใช้สังคมเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมีความสามารถอยู่เป็นจำนวนมากในทุกวันนี้


โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง

วังหลังนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสาธารณสุขแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาสำหรับสตรีอีกด้วย เนื่องจากย่านวังหลังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสตรีแห่งแรกของประเทศไทย ที่ชื่อว่า โรงเรียนสตรีแฮเรียต เอ็ม เฮาส์ (Harriet M. House School for Girls) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง

โรงเรียนแห่งนี้เกิดขึ้นจากบรรดาคณะสอนศาสนาคริสต์ชาวอเมริกันที่มีความเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เด็กผู้หญิงชาวไทยจะต้องได้เรียนหนังสือเช่นเดียวกับเด็กผู้ชาย จึงได้ไปชักชวนลูกสาวชาวบ้านมาหัดเย็บปักถักร้อย ตัดเสื้อ จนคุ้นเคยแล้วจึงสอนหนังสือไปด้วย แต่ในสมัยนั้นยังไม่ค่อยได้รับความสนใจและไม่ให้ความร่วมมือมากนัก เนื่องจากผู้ปกครองยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะส่งลูกสาวมาเรียนหนังสือ

คณะสอนศาสนาจึงต้องง้อจนถึงขนาดจ้างให้มาทำงานและเรียนหนังสือไปด้วย จนกระทั่ง ด็อกเตอร์เฮาส์ และ นางแฮเรียต ผู้เป็นภรรยา ได้สร้างบ้าน 3 ชั้นขึ้นในบริเวณวังหลัง แบ่งชั้นแรกเป็นห้องเรียน ชั้นที่สองเป็นห้องนอนและที่อยู่สำหรับตัวเอง และชั้นที่สามเป็นที่อยู่ของครู เปิดเป็นโรงเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2417 ชื่อว่า "โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง" มีนักเรียนประจำ 6 คน และนักเรียนไปกลับอีก 1 คน ต่อมากิจการของโรงเรียนดีขึ้น ผู้คนเริ่มนิยมส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนมากขึ้น จึงได้มีการขยับขยายสร้างโรงเรียนขึ้นใหม่แถวบางกะปิ เมื่อ พ.ศ.2463 และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนมาเป็นเป็น โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย จนทุกวันนี้ ส่วนโรงเรียนกุลสตรีวังหลังเดิมนั้น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงรับซื้อมาสร้างเป็นอาคารที่พักนักเรียนพยาบาลของโรงพยาบาลศิริราช


ศาลาต้นจันทน์

แต่เดิมเป็นอาคารไม้สักชั้นเดียวใต้ถุนสูงประมาณเมตรเศษ กว้างยาวประมาณ 8 x 12 เมตร มีบันไดปูนขึ้นลง 3 บันได ด้านหน้า 2 บันได ด้านทิศใต้อีก 1 บันได หน้าศาลาทางทิศเหนือมีต้นจันทน์ปลูกอยู่ 2 ต้น มีเจดีย์องค์เล็กๆ อยู่ทางเหนือและทางใต้ด้านละองค์ ศาลานี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างขึ้น แต่เป็นศาลาอเนกประสงค์ เพราะชาวบ้านในย่านวังหลังจะใช้สำหรับประกอบพิธีต่างๆ เช่น ทำบุญประจำปี ทำบุญสงกรานต์ ทำขวัญนาค ตั้งสวดศพ ฟังเทศนาวันพระ ห้องสมุด ที่สอนหนังสือ หรือแม้กระทั่งนั่งพูดคุยกัน แต่ต่อมาเมื่อมีการเวนคืนที่ดินสร้างถนนอรุณอัมรินทร์ให้กว้างขวาง พื้นที่ศาลานี้ก็ถูกเวรคืนไปด้วย จึงต้องรื้อศาลาออก ตัวศาลานี้เจ้าของเมืองโบราณขอซื้อไปปลูกไว้ที่เมืองโบราณ ส่วนห้องสมุดก็ย้ายหนังสือที่มีคนบริจาคไปไว้ที่วัดวิเศษการ

ชาวบ้านย่านวังหลังซึ่งมีความผูกพันกับศาลาต้นจันทน์ เห็นว่ามีที่สวนหย่อมของเขตเทศบาลเหลือว่างอยู่เล็กน้อย จึงรวมทุนกันสร้างศาลาต้นจันทน์หลังใหม่ขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเดิม ตั้งอยู่ในซอยศาลาต้นจันทน์ ถนนอรุณอัมรินทร์ ในปัจจุบันชาวบ้านเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ จึงมีผู้มากราบไหว้และบนบานขอสิ่งต่างๆ ผู้ที่สมหวังก็มักจะนำตุ๊กตานางรำมาเป็นเครื่องแก้บน


ศาลเจ้าพ่อฉางเกลือ


ตั้งอยู่บริเวณถนนพรานนกตรงข้ามโรงพยาบาลศิริราช เดิมเคยเป็นฉางที่เก็บเกลือ ซึ่งในสมัยโบราณนั้นเกลือเป็นยุทธปัจจัยสำคัญในการทำสงคราม และมีความเชื่อที่ว่าจะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครองฉางนี้ไว้ จึงมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นมา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีชาวบ้านที่เคารพศรัทธามากราบไหว้สักการะอยู่เป็นประจำ


ตรอกวังหลัง


ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือพรานนก มีความยาวประมาณ 300 เมตร สามารถทะลุไปออกถนนอรุณอมรินทร์ และ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้ ตรอกนี้เป็นแหล่งรวมอาหารทั้งคาว หวาน ขนม ที่มีรสชาติอร่อยและมีชื่อเสียง เช่น หอยทอดโบราณ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ไก่ย่าง ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ขนมกุ๋ยช่าย ขนมปังไส้ต่างๆ ซ่าหริ่ม ลอดช่อง ทับทิมกรอบ ฯลฯ ตลอดจนเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ อีกมากมาย เรียกว่าเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งในย่านนี้


ภัทราวดีเธียเตอร์

ตั้งอยู่ในซอยวังหลัง เดิมเป็นที่ตั้งของ โรงเรียนสุภัทรา ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนสอนการแสดง และขยายเป็นโรงละครในเวลาต่อมา โดยได้เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2535 ภัทราวดีเธียเตอร์ดำเนินงานโดย ภัทราวดี มีชูธน นักแสดงละครและครูสอนการแสดงที่มีชื่อเสียง นอกจากจะเป็นสถานที่สำหรับแสดงละครเวทีและโรงเรียนสอนการแสดงแล้ว ยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการงานศิลปะ รวมทั้งยังมีร้านอาหารอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย




ย่านวังหลังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตั้งแต่วัดระฆังโฆสิตารามขึ้นไปจนถึงปากคลองบางกอกน้อย แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร รถประจำทางที่ผ่าน สาย 19, 57, 81, 83, 146, 149, ปอ.91, 157

แผนที่ตั้งของย่านวังหลัง
https://www.myfirstbrain.com/AroundTheCity_View.aspx?Id=16843

Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น