วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ลำน้ำปาย ชนเผ่า และ ชาวปาย ผสานพลังเรียกคืนอดีต ทบทวนปัจจุบันเพื่ออนาคตยั่งยืน

วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11381 มติชนรายวัน


ลำน้ำปาย ชนเผ่า และ ชาวปาย ผสานพลังเรียกคืนอดีต ทบทวนปัจจุบันเพื่ออนาคตยั่งยืน


โดย สุวรรณา อุยานันท์




สะพานไม้ทอดข้ามน้ำปายไปยังรีสอร์ทที่กระจายตัวกันสองฟากฝั่ง
ใครๆ ก็ไปปาย....ไปปายเริ่มง่ายนิดเดียว ลัดเลาะไหล่เขา 762 โค้ง พอมึนได้ที่ก็ถึงแผ่นดินปายแล้ว

ยิ่งวันนี้มีเครื่องบินเล็ก 12 ที่นั่ง จากเชียง ใหม่ลงสนามบินปาย ยิ่งช่วยลดความลำบาก ในการเดินทาง และขนส่งนักเดินทางจำนวนมากขึ้น

เมื่อปริมาณคนมีมากเกินจะรองรับ ความ ต้องการทั้งที่พัก อาหาร และของที่ระลึกก็มากเป็นเงาตามตัว

แต่ "ซัพพลาย" คือกำลังผลิตที่จะรองรับได้ ไม่เคยพอ- -

ความพอดีที่ปายเคยมีมาก่อนหน้านี้ราว 10 ปี กลายเป็นเกินพอดีเป็นร้อยเท่า- -จำนวนคนปายดั้งเดิมมีไม่กี่หมื่นคน แต่จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงหยุดเทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ ตรุษจีน และเสาร์-อาทิตย์ แออัดอยู่ในเมืองเล็กๆ นับแสนคน

สถานการณ์แบบนี้จะให้คนปายไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็คงกระไรอยู่- -แม้ไม่ต้องการสร้างประเด็นขัดแย้งตามวิถีเดิมที่พึ่งพาอาศัยกัน แต่พวกเขาคิดว่าจะต้องส่งเสียงบ้างแล้ว

"ไม่อยากเห็นความพินาศของปาย อยากให้ทุกอย่างกลับคืนมา อย่างน้อยสัก 70-80% ก็พอใจแล้ว"

นั่นคือความรู้สึกของ ป้าแหลง-อาภรณ์ แสงโชติ ประธานเครือข่ายคณะทำงานเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน อ.ปาย จ.แม่ฮ่อง สอน

คำถามคือ อะไรเป็นความพินาศที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ "ปาย" ในความหมายของป้าแหลง

คำตอบที่ได้ คือความอึดอัดในทุกด้าน เวลาหลับนอนก็ไม่ได้หลับดี ออกไปไหนก็ออกไปลำบาก รถติด รถจอดขวางประตู ดนตรีก็มีรอบบ้านรอบเมือง

"เราเลยกลายเป็นคนแปลกไปเลย วิถีชีวิตเราก็เริ่มเปลี่ยน การค้าเศรษฐกิจถูกคนข้างนอกมะรุมมะตุ้ม อย่างทำธุรกิจที่พักโรงแรม คนในท้องถิ่นทำเล็กๆ แบบเศรษฐกิจพอเพียง พออยู่พอกินของเรา แต่คนข้างนอกเข้ามาทำธุรกิจใหญ่ๆ มีแขกพักประจำ เราถูกทอนรายได้ตรงนี้ไป"

ป้าแหลงเป็นคนเมือง (หมายถึงคนจากเชียงใหม่-ล้านนา ที่ตั้งรกรากในเมืองปาย ร่วมกับชาวไตหรือไทใหญ่ ปกาเกอญอ และมุสลิมยูนนานบ้างเล็กน้อย-ผู้เขียน) ที่เกิดบนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทั้งธรรมชาติและวิถีชีวิต ที่เอื้อเฟื้อแบ่งปันในอำเภอเล็กๆ สวรรค์บนดินและดินแดนในอุดมคติของนักเดินทาง

เพื่อเรียกศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของแผ่นดินที่อุตส่าห์ช่วยกันทะนุถนอมมาหลายชั่วอายุคน อะไรบางอย่างและหลายอย่างจึงเกิดขึ้นที่บ้านของป้าแหลงใจกลางเมืองปายแห่งนี้

ป้าแหลงบอกว่าตอนนี้มีการปรับตัวรวมกันตั้งเป็นกลุ่ม ทำอาชีพเพื่อจะเอาวิถีชีวิตเดิมๆ คืนมา ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูก ทำการเกษตร อาชีพเสริมในครอบครัวขายของพื้นบ้านทำแบบเดิมๆ กลุ่มทำอาหาร กลุ่มแปรรูป

(ขวาบน) นาขั้นบันไดของชาวปกาเกอญอ บ้านแม่ปิง ห้วยแก้วและ ท่าปาย (ซ้ายล่าง) ถนนคนเดินที่จัดกันทุกวันในช่วงฤดูหนาว (ขวาล่าง) ร้านกาแฟสุดฮิพ ทั่วเมืองปาย


"อย่างเช่นที่เราทำวันนี้ เราปลูกถั่วมากเราก็ทำเป็นซุปรสอร่อย เป็นของพื้นบ้านที่เรามีอยู่ เราทำขึ้นมาจำหน่าย ถ้านักท่องเที่ยวชอบของเก่าเดิมๆ เราไปคิดค้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อจะไปต่อสู้กับของใหม่ที่เข้ามาในบ้านเรา ที่เอามาขายในถนนคนเดิน.."

เมื่อพูดถึงถนนคนเดินในเมืองปายที่เดิมเคยจัดกันช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมามีถนนให้คนเดินทุกวัน

คนปายที่ตรากตรำทำงานในไร่ในสวนต้องขยับเวลาพักผ่อนออกไปจนกว่านักท่องเที่ยวและความบันเทิงริมถนนจะจากไปในช่วง 4 ทุ่ม

แต่น่าใจหายที่ถนนคนเดินมีแต่สินค้ายกโหลจากเชียงใหม่ และสำเพ็งเป็นส่วนใหญ่

"ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนี้เลย ทั้งที่คนปายมีฝีมือนะ ของดีมีเยอะมาก แต่คนปายเราไม่รู้จะไปพูดให้ใครที่ไหนฟัง ที่ทำอยู่ทุกวันนี้มีเครือข่ายอาชีพทุกอย่าง อาหารเรามีทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารไทยใหญ่ ถึงท้องถิ่น ทำเสื้อ ทำอะไรเราก็ทำได้ แต่ทุนเราน้อย เรามีแต่ใจ มีความคิดน้อยๆ มีแต่ความคาดหวังที่อยากให้พี่น้องอยู่กินอย่างดี ไม่ต้องทำอาชีพทุจริต ไม่ได้หวังร่ำรวย ให้พออยู่พอกินก็พอใจแล้ว"

ความหวังที่ป้าแหลงกล่าวมาถูกทำลายลงทีละน้อย สิ่งเดียวที่ต้องนำมาใช้ในสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยน "ปาย" ให้เป็น ถนนข้าวสาร พัทยา ป่าตอง และเชียงใหม่ก็คือ..

"ถ้าเรารับไม่ได้เราสู้เขาไม่ได้ นักธุรกิจที่เข้ามาเขาทุนใหญ่มือใหญ่ เราสู้ไม่ได้ก็ต้องถอย บางคนถึงกับขายที่แล้วขึ้นไปอยู่บนดอย ไปทำมาหากินเปลี่ยนอาชีพใหม่ไปเลย"

ไม่มีตัวเลขแน่นอนว่าคนเมืองปายแท้ๆ ต้องทิ้งบ้านที่เคยอยู่สงบ ไปบุกเบิกผืนป่าและภูเขาลูกไหน จำนวนเท่าไหร่บ้าง

แต่สิ่งที่คนเมืองปายเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูหนาว คือ การยึดครองพื้นที่ริมน้ำปายที่ไม่ควรมีใครถือครองกรรมสิทธิ์ เป็นสถานที่ให้เช่ากางเต๊นท์ เป็นบ้านพักง่ายๆ และหลายจุดยังเป็นสิ่งปลูกสร้างถาวรด้วยซ้ำไป

เมืองปายของป้าแหลง และเครือข่ายคณะทำงานเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน อ.ปาย รวมทั้งชาวปายดั้งเดิมที่ฟูมฟักรักษากันนับร้อยปีกลายเป็น "แหล่งขุดทองของคนนอก" ไปเสียแล้ว

เริ่มตั้งแต่ฟองสบู่แตกหลังรัฐบาลลดค่าเงินบาทเมื่อปี 2541 จนมาถึงช่วงคลื่นยักษ์สึนามิถล่มชายฝั่งอันดามัน ธุรกิจบริการเสียหายย่อยยับ คนตกงาน รวมกับคนในแวดวงโฆษณาประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชน บางส่วนที่มีทั้งทุนความคิดและทุนทรัพย์ ไปบุกเบิกความ แปลกใหม่ ขายไอเดียให้นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลจากเมืองใหญ่

(จากซ้าย) โปสการ์ด "ปาย" มียอดขายสูงที่สุด, ป้าแหลง-อาภรณ์ แสงโชติ, อำพัน ปรัชญาวิชัยกุล แกนนำชาวปกาเกอญอแห่งบ้านแม่ปิง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

และยิ่งเมื่อภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องไปถ่ายทำทิวทัศน์เมืองปาย ยิ่งกระตุ้นนักเดินทางทั้งหลายให้ไปปายกันจนกระทั่งทุกช่วงฤดูหนาวและวันหยุดยาวนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา การจราจรติดขัดทั่วเมืองปาย อาหารที่ผลิตไม่พอสำหรับการบริโภคของผู้คนนับแสน ต้องนำเข้าจากเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งระยะทางห่างจากปายนับร้อยกิโลเมตรทั้งสิ้น

"ปาย" กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เสื้อยืดที่มีคำว่า "ปาย" ขายดีที่สุด โปสการ์ดภาพและข้อความ "ปาย" มียอดขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นในประเทศไทย

สิ่งที่ป้าแหลงกังวล ไม่ได้เกินเลย เพราะที่มากไปกว่านั้น ปายมีตู้ไปรษณีย์รองรับการส่งไปรษณียบัตรมากที่สุดในประเทศเมื่อเทียบกับพื้นที่และจำนวนประชากรของปาย

ขณะที่เมืองปายของป้าแหลงและชาวปาย เปลี่ยนไปทุกปี- -ชุมชนปกาเกอญอของ 3 หมู่บ้านที่อยู่ชายขอบเมืองปายในรัศมีเพียง 5-7 กิโลเมตร ก็ต้องลุกขึ้นมาป้องกันตัวเองจากธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายจากเมืองสู่ชุมชนรอบนอกแล้ว

ความงดงามในทุกฤดูกาลของนาขั้นบันไดผืนใหญ่แห่งสุดท้าย ที่อยู่ไกลจากตัวเมืองปายไม่กี่กิโลเมตร ไม่มีสิ่งปลูกสร้างรบกวนสายตา เมืองเล็กๆ ที่กำลังเติบโตจากธุรกิจท่องเที่ยวแห่งนี้ - -ที่ดินผืนกว้าง ทำเลดี มีพลังของชุมชนปกาเกอ ญอ บ้านท่าปาย แม่ปิงและห้วยแก้ว แห่งตำบลแม่ฮี้ อำเภอปาย เป็นปราการแกร่งที่คอยปกป้องทุนและวิถีชีวิตแห่งชนเผ่าเอาไว้

"เรารู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ก็เห็นว่าความยั่งยืนไม่ได้อยู่ตรงที่มีสตางค์หรือมีบ้าน มีรถ อันนั้นเป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง" เสียงของ อำพัน ปรัชญาวิชัยกุล คณะทำงาน เสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

เขาเป็นปกาเกอญอ หรือ กะเหรี่ยงแห่งบ้านแม่ปิง ผู้ศรัทธาในวิถีแห่งชนเผ่าและเป็นผู้ "ตื่น" ด้วยสัญญาณบางอย่าง

"ช่วงนั้นเราเริ่มเห็น คือมีหนังสือที่เขียนถึงปาย เป็นลักษณะว่าเป็นสวรรค์บนดิน เราพอนึกภาพออกว่าพอหนังสือพวกนี้ออกไปมันต้องมีคนฉวยโอกาสแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนทยอยเข้ามาเยอะขึ้น เราก็เจอปัญหาเหมือนกัน หมู่บ้านได้รับผลกระทบจากการเติบโต ค่อนข้างเกือบจะสายเหมือนกัน"

ชนเผ่าที่รักสงบ พึ่งพาธรรมชาติและมีวิถีพอเพียงเป็นหลักดำเนินชีวิต ต่างมองเห็นความขัดแย้งที่เกิดในเมืองปาย และไม่ยอมนิ่งดูดายหรือวางเฉยกับสิ่งที่เห็น

"ในตัวเมืองนี่มีไทยใหญ่กับคนเมืองเป็นส่วนใหญ่เขาก็สะท้อนกลับมา มีการแตกแยกทางความคิดระหว่างคนเข้ามาใหม่กับคนเดิมที่อยู่ เราก็เลยคิดว่ามันจะลามแน่นอน มันเริ่มจากเล็กๆ ขยายจากข้างใน แม้จะไม่ลามออกมาในลักษณะยึดครองพื้นที่ แต่เขาต้องใช้ทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นป่า ดิน หิน ทราย ไม้ ของที่เคยกินที่เคยพอ มันเริ่มไม่พอ"

สิ่งที่ชุมชนปกาเกอญอทำได้คือรวมตัวกันและค้นหาแนวป้องกัน จากเหตุการณ์ที่ผู้ประ กอบการขุดทรายในลำน้ำแม่ปิงที่ทุกคนเคยใช้ร่วมกัน มีการปักปันเขตแดนห้ามชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงเข้าไปใช้ประโยชน์ สุดท้ายก็จบที่ศาล ซึ่งตัดสินให้ผู้ประกอบการขนย้ายอุปกรณ์ทั้ง หมดออกไป

นี่คือจุดเปลี่ยนและสัญญาณเตือนชาว ปกาเกอญอต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายใน

กฎกติกา จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะที่ดิน ซึ่งเป็นทุนชีวิตอย่างเดียวที่ทำให้ชาวปกาเกอญอดำรงอยู่แต่ที่ดินผืนงามที่เป็นประตูสู่เมืองปาย ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของผู้ประกอบการเหมือนกัน

"เราตั้งกรรมการจาก 3 หมู่บ้านขึ้นมาเพื่อปกป้อง กฎกติกา คือหนึ่ง-ขอกันอย่าขายที่ดิน ถ้าจะขายต้องคุยกับกรรมการก่อน สอง-ถ้าหากซื้อคืนได้เราจะซื้อคืนโดยใช้เงินกองทุน ถ้าซื้อคืนไม่ได้ อันนี้อาจจะต้องคุยกันยาว หลายขั้นตอน ที่ผ่านมาเราซื้อคืนจากนายทุน 2 แปลง เราบอกว่าถึงแม้คุณจะซื้อไป คุณก็ทำอะไรไม่ได้ คุณจะยอมซื้อหรือยอมเสีย ซื้อคืนเสร็จก็เป็นของส่วนรวมมันกลายเป็นที่ดินของหมู่บ้าน ที่ผ่านมาก็นำไปให้โรงเรียนใช้ประโยชน์ทำเป็นสวนเกษตรพอเพียง 2 ไร่กว่า อีกที่เอาไปทำสนามกีฬา"

สิ่งที่อำพันกล่าวมานั้น กลายเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างพลังต่อรอง และสร้างกติการ่วมกันของชาวบ้านในวันนี้

ทั้งเพื่อแก้ปัญหาในวันนี้และป้องกันปัญหาในอนาคต เพราะไม่เช่นนั้นต้อง- -

"ปรับตัวให้กลายเป็นของเขา ปรับตัวให้ เหมือนกับใครคนหนึ่ง"

แต่สิ่งที่ว่ามานี้ อำพันและชาวปกาเกอญอแห่งตำบลแม่ฮี้ อ.ปาย ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะพวกเขายังมีทางเลือกที่ดีกว่า

ชาวบ้านบอกว่า "เราอยากจะปรับให้เราอยู่ได้อย่างมีคุณค่า ไม่ใช่อยู่ได้อย่างอนาถา หรือไม่ได้อยู่ได้อย่างชนกลุ่มน้อยที่ ไร้ศักดิ์ศรี"

พวกเขาไม่ได้เรียกร้องหรือลุกขึ้นมาทวงถามในฐานะเจ้าของบ้านเท่านั้น แต่ทั้งชาวปกาเกอ ญอ ป้าแหลง และชาวปาย ต่างลงมือทำแล้ว ทำเพื่อให้

"คนนอก" ได้เรียนรู้วิถีแห่งการแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในธรรมชาติของคนปายที่เหลืออยู่ในวันนี้

ร่วมกันกอบกู้ฟื้นฟู สิ่งที่ถูกทำลายให้กลับคืนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หน้า 21
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra02080552&sectionid=0131&day=2009-05-08


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

1 ความคิดเห็น:

  1. อยากไปเที่ยวดีครับ
    ตอนไปเค้าที่แล้วก็เวลาน้อยไปหน่อย
    ขออนุญาติแนะนำเว็บไซต์
    หา
    อาชีพเสริมไว้ซักอันนะครับ

    ตอบลบ