หุ่นจีนไหหลำในเมืองไทย1
การเล่นหุ่นในสังคมไทย
จากการค้นคว้าของ อรไท ผลดี ระบุว่าการเล่นหุ่นในเมืองไทยปรากฎหลักฐานครั้งแรกในสมุดไทยขาวสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) จากเรื่อง พระเนมิราช ตอนพิธีราชาภิเษกมีกล่าวถึงมหรสพฉลองหลายอย่างโดยระบุคำโบราณว่า "หุ่นโขนไทยชวา" นอกจากนี้ก็พบเอกสารจดหมายเหตุมากมายที่ระบุถึงการเล่นหุ่นหลายเชื้อชาติในสังคมไทย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมไทยตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจนมาถึง รัตนโกสินทร์จะมีกล่าวถึงหุ่นชวา หุ่นพม่า หุ่นลาว หุ่นทวาย หุ่นมอญ หุ่นจีน เฉพาะหุ่นจีนนี้ชักสายข้างบน ตากลอกไปมาได้ และระบุลงไปชัดเจนว่าเป็นของพวก "จีนจะจิว" หรือ แต้จิ๋ว ดังปรากฏในสมุดไทยขาวว่า "พวกจีนจะจิว ชักหุ่นเล่นงิ้ว บิดพริ้วไปมา เหลือกตายักคิ้ว เล่นงิ้วภาษา"
หุ่นจีนนั้นมิใช่มีจำเพาะหุ่นจีนแต้จิ๋วเท่านั้น ยังมีหุ่นจีนฮกเกี้ยนด้วยและเป็นที่นิยมในหมู่เจ้านายชั้นสูง เช่น กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้าสมัยรัชกาลที่ 5) ซึ่งโปรดมาก ถึงกับให้ตั้งคณะหุ่นจีนเป็นของพระองค์เอง โดยทำแบบ "หุ่นจีนฮกเกี้ยน" ใช้มือของผู้เชิดสอดเข้าไปในหุ่น และใช้นิ้วของผู้เชิดสอดเข้าไปบังคับคอหุ่นและมือหุ่นทั้งสองข้าง ปัจจุบันตัวหุ่นเหล่านี้ยังพอมีให้ชมในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครที่สนามหลวง คนรุ่นเราควรหาโอกาสเข้าไปดูทำความรู้จักไว้ เพราะปู่ย่าตายายของเราชอบดูหุ่นจีนกันมาก ถึงแก่มีหลักฐานว่าในสมัย รัชกาลที่ 4 มีการเก็บภาษีแสดงหุ่นจีนเท่ากับหุ่นไทยทีเดียว คือเก็บวันละ 1 บาท ซึ่งนับว่าราคาสูงมากในสมัยนั้น
นอกจากนี้ยังมีหุ่นจีนไหหลำอีกประเภทหนึ่งที่เกิดทางเมืองเหนือของไทยและคลี่คลายเป็นหุ่นกระบอกไทยในสมัยต่อมา หากจะเทียบง่ายๆ ว่าหุ่นจีนฮกเกี้ยนซึ่งเป็นต้นเค้าของหุ่นกรมพระราชวังบวรฯ เป็นวัฒนธรรมในราชสำนัก ก็อาจกล่าวได้ว่าหุ่นจีนไหหลำจากเมืองเหนือเป็นต้นเค้าของหุ่นกระบอกไทย
หุ่นจีนไหหลำ กับหุ่นกระบอกไทย
ความเป็นมาของหุ่นจีนไหหลำในเมืองไทยนั้นน่าสนใจไม่น้อย และน่ารู้ว่าทำไมจึงเรียกหุ่นกระบอกไทยในช่วงแรกว่า "หุ่นเลียนอย่างเมืองเหนือ" ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 90 หน้า 286 มีหลักฐานว่าใน พ.ศ. 2436 ได้มีหุ่นเลียนแบบเมืองเหนือแสดงในงานเฉลิมพระชนมพรรษาที่พระราชวังบางปะอิน ซึ่งก็คือหุ่นกระบอก แต่เวลานั้นยังไม่เรียกหุ่นกระบอก จากประวัติศาสตร์บอกเล่าซึ่งค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต เล่าว่า นายเหน่ง ซึ่งเป็นคนอำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ได้เห็นการแสดงหุ่นจีนไหหลำ เกิดติดใจจึงคิดแกะหัวหุ่นขึ้นเป็นหุ่นไทยแต่ทำตัวหุ่นเลียนแบบหุ่นจีนไหหลำ คือมีกระบอกเป็นแกน นายเหน่งทั้งร้องและเชิดหุ่นนี้ หุ่นกระบอกนายเหน่งมีชื่อเสียงและถือกำเนิด ณ เมืองสุโขทัยนี่เอง เวลานั้นยังอยู่ในแผ่นดิน รัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ยังมีเกลอของนายเหน่งชื่อตาดัด ซึ่งเคยไปเชิดหุ่นกระบอกอยู่กับนายเหน่งพักหนึ่ง ต่อมาจึงตั้งคณะหุ่นของตัวเรียกว่า หุ่นตาดัด ที่เมืองพิจิตรอันเป็นนิวาสสถานของตน บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งที่ทำให้หุ่นกระบอกได้รับการจดจารเป็นลายลักษณ์ครั้งแรก คือหม่อมราชวงศ์เถาะ พยัคฆเสนา สรุปความว่า
พ.ศ. 2435 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จไปตรวจราชการเมืองเหนือ คุณเถาะได้ตามเสด็จด้วยในฐานะพี่เลี้ยงพระโอรสเสด็จในกรม พระยาศรีธรรมศุภราช (ครุฑ หงสนันท์) ผู้สำเร็จราชการเมืองสุโขทัยได้จัดหุ่นกระบอกมาเล่นให้ดูและเล่าว่า นายเหน่งเห็นหุ่นจีนไหหลำจึงเอาอย่างมาคิดทำเป็นตัวหุ่นไทยและคิดกระบวนร้องตามรอยหุ่นไหหลำมีคนชอบจึงเลยเที่ยวเล่นหากิน หม่อมราชวงศ์เถาะเกิดความคิดที่จะเล่นหุ่นจึงทูลขอเงินสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพไปลงทุนทำ จึงเกิดหุ่นกระบอกขึ้นในกรุงเทพฯ ราว พ.ศ. 2436 แต่แรกมักเรียกว่าหุ่นคุณเถาะ
หากพิจารณาจากมิติต่างๆ และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือ นายเหน่ง ตาดัด และคุณเถาะ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันคือ ช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนสถานที่เกิดเหตุคือ สุโขทัย พิจิตร เราคงได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดหุ่นกระบอกซึ่งได้ต้นเค้ามาจากหุ่นจีนไหหลำซึ่งนิยมเล่นในแถบภาคเหนือช่วงสุโขทัย พิจิตร สิ่งที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษคือ หุ่นไหหลำนั้นนิยมกันมากในแถบภาคเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวจีนไหหลำที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และเราจะทำความเข้าใจเชื่อมโยงเรื่องราวอื่นๆ ต่อไป
ชาวจีนไหหลำนับเนื่องเป็นกลุ่มจีนภาษาหนึ่งเฉกเช่นกลุ่มจีนแต้จิ๋ว จีนแคะ จีนฮกเกี้ยน จีนกวางตุ้ง คือมีภาษาพูดเฉพาะกลุ่ม ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เกาะไหหลำ อันเป็นเกาะทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ เดิมเกาะไหหลำขึ้นอยู่กับมณฑลกวางตุ้ง เพิ่งแยกตัวมาเป็นมณฑลไห่หนาน (Hainan) เมื่อพ.ศ. 2531 นี้เอง คำว่าไหหลำนั้นเราเรียกอย่างสำเนียงไทยๆ อันที่จริงมาจากคำว่า ไห่หนาน (ไห่หมายถึงทะเล หนานคือทิศใต้ แปลรวมความว่า ดินแดนทะเลใต้) มีแห่งเดียวที่ใช้ว่าไหหนำ คือ สมาคมไหหนำแห่งประเทศไทย บนเกาะไหหลำนี้มีประชากรราว 8 ล้านคน จำแนกได้ถึง 37 ชาติพันธุ์ กลุ่มใหญ่สุดคือพวกฮั่น ซึ่งก็คือพวกจีนไหหลำที่เป็นบรรพบุรุษของลูกหลานจีนไหหลำในเมืองไทยนั่นเอง
ทางภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยตั้งแต่นครสวรรค์ขึ้นไป แถบอุทัยธานี พิจิตร อุตรดิตถ์ สวรรคโลก สุโขทัย นั้น มีคนจีนไหหลำตั้งถิ่นฐานกันมาก เหตุหนึ่งเพราะพวกนี้เชี่ยวชาญทางทำไม้ ทำโรงเลื่อย มีชุมทางลำเลียงจุดสำคัญอยู่ที่นครสวรรค์หรือปากน้ำโพ เมื่อล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา ก็มักมาหยุดที่บางโพ ที่นี่จึงเป็นแหล่งชุมชนใหญ่ของชาวจีนไหหลำในกรุงเทพฯ โดยมีศาลเจ้าแม่ทับทิม (จุ้ยโบเนี้ยว) ที่นับถือกันมากเป็นศาลใหญ่ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี ปัจจุบันอยู่เชิงสะพานซังฮี้ฝั่งพระนคร2
หุ่นจีนไหหลำในบรรยากาศจีนไหหลำ
กล่าวได้ว่าการต่ออายุของหุ่นจีนไหหลำในปัจจุบันก็คือกิจกรรมแก้บนนี่เอง อาจมีบ้างที่คณะกรรมการศาลเจ้าจะจัดให้เล่นในวันเกิดเจ้าแม่ เจ้าพ่อ ที่ชาวไหหลำนับถือ ซึ่งผู้ติดค้างสินบนก็จะมาทำพิธีแก้ในคราวนั้นเลย จากการสอบถามคณะแสดงทำให้ทราบว่าปัจจุบันเหลือคณะเล่นหุ่นจีนไหหลำเพียงสองคณะเท่านั้นในเมืองไทยคือ คณะผั่นวา กับหยุ่งวา ที่น่าสนใจอีกประการคือ หุ่นไหหลำมักจับเล่นเรื่องประเภทมีความสุขในตอนจบและมักจะไม่ค่อยเล่นเรื่องรบราฆ่าฟัน เลือดตกยางออก อย่าง สามก๊ก นี่จะไม่ค่อยเล่นงานแก้บน ตรงนี้อาจเป็นเพราะ สามก๊ก เป็นเรื่องใหญ่ มีตัวละครสำคัญๆ มาก เครื่องถนิมพิมพากรณ์ก็คงจะมากเรื่อง ดังนั้นการเลือกเล่นเรื่องชาวบ้านพื้นๆ คงจะเหมาะสมกว่า
ส่วนเครื่องดนตรีประกอบถึงแม้จะมีน้อยชิ้นทว่าแต่ละชิ้นก็น่าสนใจ เช่น ซออู้ ซออี้ ปี่ โหล กลอง เต้ง โหม่ง กก (เรียกอีกชื่อว่า บังบั่น หรือ กลองไม้ ลักษณะเป็นกลองสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดย่อม) ส่วนทำนองเพลงหุ่นไหหลำนี้ฟังดูคล้ายๆ ทำนองเพลงงิ้วไหหลำ คือ หวานเจื้อย น่าสังเกตว่าไม่พบทำนองเพลงสังขาราอย่างในเพลงในหุ่นกระบอกไทย ดังนั้นการที่กล่าวว่าหุ่นจีนไหหลำเป็นต้นเค้าของหุ่นกระบอกไทยก็ไม่ผิด เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนส่วนที่เป็นหัวหุ่นและทำนองเพลงเท่านั้น แต่แกนของหุ่นยังเป็นกระบอกเหมือนกัน รวมทั้งวิธีชักเชิดด้วย
ความน่าประทับใจอีกประการหนึ่งของการชมหุ่นไหหลำก็คือ โรงหุ่น กล่าวคือ เมื่อแรกเห็นหีบไม้ของคณะหุ่นวางเรียงรายบนตั่ง (ร้าน) ของโรงหุ่น ก็ดูไม่น่าสนใจอะไรมากนัก ต่อเมื่อคณะมากันพร้อมเพรียง เขาก็ช่วยกันประกอบฝาสองด้านครึ่ง แล้วยกขึ้นมาล้อมร้านที่ว่านี้ ก็จะได้โรงหุ่นขนาดกะทัดรัดในพริบตา อธิบายง่ายๆ คือ หน้าโรงมีม่านเป็นจอครึ่งหนึ่งสำหรับเชิดหุ่นออกมาเล่น สองข้างมีฝา และหลังโรงเปิดโล่ง
หุ่นจีนไหหลำนี้ นอกจากที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ ก็จะมีที่ศาลเจ้าของชาวจีนไหหลำอีกสองสามแห่งในกรุงเทพฯ เช่น ศาลเจ้ารางบัว (ศาลเจ้ากวนอู) หมู่ 6 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ เป็นศาลเก่า มีงิ้ว หุ่น ปีละครั้ง,
ศาลเจ้าเจียวเอ็งเบี้ยว หรือศาลเจ้าเก่าของชาวจีนไหหลำย่านบางรัก มีงิ้วไหหลำเล่นช่วงหลังตรุษจีนและวันเกิดเจ้า ศาลนี้จึงมีงิ้วปีละมากกว่าหนึ่งครั้ง, ศาลเจ้าแม่ทับทิม (อีกแห่งหนึ่ง) ศาลนี้อยู่ที่แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ มีหุ่นไหหลำเล่นด้วยตามเทศกาล ส่วนศาลเจ้าจีนไหหลำในต่างจังหวัดเช่น พิจิตร สวรรคโลก อุตรดิตถ์ ฯลฯ นั้น ทราบว่าไม่สู้จะมีงิ้วไหหลำหรือหุ่นไหหลำเสียแล้ว เพราะคณะที่เล่นต้องเดินทางไปจากกรุงเทพฯ เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
เพราะฉะนั้นการคงอยู่ของวัฒนธรรม เช่น งิ้วไหหลำ หรือหุ่นกระบอกจีนไหหลำนอกจากจะได้รับการอุปถัมภ์จากคนจีนไหหลำในสังคมไทยแล้ว ยังขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคนที่หากจะยังเห็นคุณค่าของศิลปะการชักเชิดหุ่นให้โลดแล่นอยู่ในสังคมไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
http://72.14.235.132/search?q=cache:lAMoxECOqB0J:av.sac.or.th/Subdetail/seminar/sum_show/show18/hailum.doc+%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A7&cd=6&hl=th&ct=clnk&gl=th
Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น