| ชาญวิทย์ เกษตรศิริ รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี 2552 | |||
 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ รับรางวัลศรีบูรพาจากประยอม ซองทอง 5 พ.ค. 2552 ร.ร. มิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ คณะกรรมการกองทุนศรีบูรพา มอบ "รางวัลศรีบูรพา" แก่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถือเป็นนักเขียน "รางวัลศรีบูรพา" คนที่ 21 รางวัลศรีบูรพา เป็นรางวัลประจำปีที่คณะกรรมการ "กองทุนศรีบูรพา" ได้พิจารณาหารือและลงมติด้วยเสียงข้างมากเพื่อมอบให้กับบุคคลที่เป็นนักคิดนักเขียน นักแปล กวี หรือนักหนังสือพิมพ์ ที่มีแบบฉบับการใช้ชีวิตที่งดงาม และแบบฉบับการสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่าต่อสังคมและมนุษยชาติมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนอย่างเช่น "ศรีบูรพา" , มีผลงานติดต่อกันเป็นเวลายาวนานไม่น้อยกว่า 30 ปี และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และยังมีชีวิตอยู่  ทั้งนี้ รางวัลศรีบูรพาเป็นรางวัลที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2531 มีการมอบรางวัลในวันที่ 5 พ.ค.ของทุกปีซึ่งเป็นวันนักเขียน โดยครั้งนี้ ในช่วงช่วงเช้าและบ่าย สมาคมนนักเขียนแห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรมเสวนาและอภิปราย  รวมถึงการรำลึกถึง รงษ์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนผู้ล่วงลับ จากนั้นจึงมีการมอบรางวัลศรีบูรพาในเวลา 17.00 น. โดยนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้รับรางวัลประจำปีนี้ เป็นผู้กล่าวสุนทรกถา 000 
 สุนทรกถา ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ๑. เกริ่นนำ ท่านนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ท่านประธานกองทุนศรีบูรพา ท่านสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และสุภาพชน ขอขอบคุณคณะกรรมการฯ ที่ให้เกียรติในการประสาทรางวัล "ศรีบูรพา" ให้แก่ข้าพเจ้า ในปีนี้ซึ่งเป็นปีสำคัญมากๆ  ข้าพเจ้าเคยบ่นกับ "สุจิตต์ วงษ์เทศ" และ "เสถียร จันทิมาธร" ว่าเมื่อไรจะได้รางวัล "ศรีบูรพา" เหมือนนักคิดนักเขียนใหญ่ๆทั้งหลายกับเขาสักที คำตอบก็คือว่า "ใจเย็นๆ แล้วก็จะได้เอง" ครับ จริงสิ ก็ไม่นานเกินรอ และก็ต้องขอบอกว่า "ภูมิใจจริงๆ ขอบใจจริงๆ"  
 ข้าพเจ้าเป็นคนต่างจังหวัด (บ้านโป่ง ราชบุรี) มาจากครอบครัวอนุรักษ์นิยม เราเป็นครอบครัวที่อ่านหนังสือไม่น้อย  เมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์วัยยังไม่ได้เข้ามา "ชุบตัว" ในพระนคร ก็รู้จักแต่เพียง "ป. อินทรปาลิต" พอเข้ากรุงก็ขยับมาสู่ "คึกฤทธิ์ ปราโมช" "วิลาศ มณีวัต" และที่สำคัญ/ประทับใจอย่างยิ่ง คือ "รงค์ วงษ์สวรรค์" จำได้ว่าแปลกประหลาดดีที่ให้ "น้ำค้าง" นางเอกจากโพธาราม "เสียตัว" ตั้งแต่ต้นเรื่อง  ท่านสุภาพชน คงไม่ค่อยเชื่อว่าในชีวิตการอ่านครั้งโน้น ข้าพเจ้าไม่รู้จัก"เสนีย์ เสาวพงศ์" หรือ "ศรีบูรพา"   ๒. "ศรีบูรพา-อากาศดำเกิง-ดอกไม้สด" 
 เมื่อเร็วๆนี้ข้าพเจ้าตั้งคำถามกับนักศึกษาปี ๑ ที่ท่าพระจันทร์เยาวชนคนหนุ่มสาววัยเกือบๆ ๒๐ ซึ่งเป็นคนรุ่นที่เกิดมาพร้อมๆกับการสิ้นสุดของ"สงครามเย็น" และการพังทลายของ "กำแพงเบอร์ลิน" ช่วงปลายทศวรรษ ๑๙๘๐ และต้นทศวรรษ ๑๙๙๐ว่า ประโยคสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิตคุณหญิงกีรติกล่าวว่าอะไรเชื่อไหม นักศึกษา (ส่วนใหญ่หญิง)  แต่พอถามว่ารู้จัก "วิมล" ไหม และรู้ไหมใครพูดประโยคนี้ "แม้การเป็น "ผู้ดี...จะไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก ... นี่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตั้งคำถามว่า"ดอกไม้สด" "อากาศดำเกิง" และ "ศรีบูรพา"ต่างก็เป็นนักคิดนักเขียนใหญ่พอๆกัน ทั้งสามต่างผลิตงานเขียนที่สะท้อนยุคสมัยนั้นของท่าน ต่างก็เกิดปีเดียวกัน คือ พ.ศ. ๒๔๔๘ หรือ ค.ศ. ๑๙๐๕ คือ ๑๐๔ ปีมาแล้วแต่ทำไม "ศรีบูรพา" ถูกจำ หรือถูกให้จำ ส่วน "ดอกไม้สด" และ "อากาศดำเกิง" ถูกลืม หรือถูกให้ลืม  แน่นอนส่วนหนึ่งก็คือ ขึ้นอยู่กับว่านวนิยายเล่มไหนถูกกระทรวงศึกษาฯ หยิบขึ้นมาบังคับให้นักเรียนต้องอ่าน ให้ครูต้องนำมาออกข้อสอบ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าคำอธิบายเพียงแค่ว่าเป็น"หนังสือบังคับ" จะเพียงพอ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าตนเอง จะคิดเลยเถิดไปถึงขนาดว่า สังคมไทยที่ "ศรีบูรพา"พยายามสะท้อนออกมาให้เราเห็นและเข้าใจในขณะนั้น อาจจะไม่ต่างกับประโยคทองของ Gramsci นักปรัชญามาร์กซีสต์อิตาลี (1891-1937)  The old world is dying away,  "โลกเก่า กำลังตายจากไป  ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า นี่แหละที่เป็นสาระสำคัญที่ทำให้ "ศรีบูรพา" เป็น "อมตะ" ที่ทำให้ต่างกับนักเขียนรุ่นเดียวกันอีก ๒ ท่านที่กล่าวมา 
 หยดฝนย้อย หยาดฟ้า มาสู่ดิน "สุชาติ สวัสดิ์ศรี บก. บันทึกไว้ในรวมเล่ม"ร้อยนักเขียน ร้อยกวี ร้อยปี ศรีบูรพา" เนื่องในวาระ ๑๐๐ ปี กุหลาบ สายประดิษฐ์ ว่าบั้นปลายชีวิต ขณะลี้ภัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน"กุหลาบ สายประดิษฐ์" ได้ทราบข่าวชัยชนะของนักศึกษา-ประชาชนในเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เขารู้สึกประทับใจและสะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ๓. ตามรอย "ข้างหลังภาพ" ที่ "มิตาเกะ" นพพรหลงรักและบูชาคุณหญิงกีรติอย่างบ้าคลั่ง ตามวิสัย "รักครั้งแรก" ของชายหนุ่ม หลายปีต่อมาเขาก็ลืมและเลือนความรู้สึกนั้นไป ในขณะที่คุณหญิงกีรติยังคงประทับใจและฝังแน่นกับความรักครั้งแรกของเธอที่ข้างหลังภาพ "มิตาเกะ" MITAKE อย่างที่เรารู้กัน นวนิยายเรื่องนี้จบลงเมื่อคุณหญิงกีรติตายไปด้วยความโศกเศร้าและด้วยวัณโรค (โรคของนางเอก/พระเอกสมัยทศวรรษ ๒๔๗๐-๘๐)เธอทิ้งประโยคอมตะไว้ให้เราต้องท่องจำ ข้าพเจ้าประทับใจนวนิยายเรื่องนี้มาก จำได้แม้แต่ว่าเมื่อคุณหญิงกีรติพบนพพรครั้งแรกนั้นเธอแต่งชุดสีน้ำเงินมีดอกขาว เธอสวยงามเหลือเกิน และก็ประทับใจต่อฉากรัก ที่นพพรลืมตัวสารภาพรักที่ "มิตาเกะ" และ "มิตาเกะ" ก็คือ "ข้างหลังภาพ" ของนวนิยาย ที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวด นี่ก็เป็นที่มาที่ข้าพเจ้าในฐานะของคนที่ถูกคุณยายบ่นว่า "ชีพจรลงเท้า" ตะเกียกตะกาย ไป "มิตาเกะ" ให้จงได้  ครั้งแรกปี ๒๕๒๖ นั้นเป็นเดือนตุลาคม ฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มหนาว ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดง ข้าพเจ้าโชคดีได้เพื่อนหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อคาซึเอะ อิวาโมโต เป็นมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ นำทางไป"มิตาเกะ" Mitake อิวาโมโต ตอนนั้นทำงานอยู่ที่มูลนิธิโตโยต้า เราติดต่อกันมานานจนรู้จักกันดีพอควรเธอเป็นคนญี่ปุ่นที่แข็งขันและเป็นคนที่มีส่วนสำคัญให้นวนิยายไทยหลายเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น "ข้างหลังภาพ" ของ "ศรีบูรพา"  เราขึ้นรถไฟกันที่สถานีคิซิโจจิ ที่ชานเมืองโตเกียว(ไม่ได้ขึ้นที่สถานีชิงจูกุ ดังคุณหญิงกีรติและนพพรอย่างในเรื่อง)  เราลงรถไฟที่นั่นวันนั้น อากาศเย็นแต่แดดจ้าเหมาะกับการไปชมฉากรักของ "ศรีบูรพา" เสียนี่กระไร เราขึ้นรถเมล์ต่อเพื่อขึ้นไปบนภูเขา "มิตาเกะ" ที่นั่น เรานั่งรถสายเคเบิล ซึ่งลากเราขึ้นไปไปครึ่งทางเกือบถึงยอดเขา ถามได้ความว่ารถสายเคเบิลนี้สร้างมาก่อนสงครามโลกที่สองแต่ "ศรีบูรพา" มิได้เอ่ยถึงไว้ในฉากรักของคุณหญิงกีรติและนพพร เราค่อยๆ เดินกันต่อเพื่อไปให้ถึงยอดเขา หนทางเดินคดเคี้ยวไปตามไหล่เขามีนักท่องเที่ยวบางตา ทุกอย่างดูสงบ เห็นต้นซีดาขนาดใหญ่อย่างที่ "ศรีบูรพา" พูดถึงบางแห่งเป็นต้นเมเปิล ใบกำลังเหลืองเกือบป็นแดงหนทางที่เราเดินไปสงบเงียบ คดเคี้ยว และยังมีสภาพเป็นธรรมชาติที่สุด อิวาโมโตหันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า"คุณคงเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไม "ศรีบูรพา" เลือก "มิตาเกะ" เป็นฉากรักของ "ข้างหลังภาพ"ครับ ข้าพเจ้าต้องพยักหน้าเห็นด้วยเพราะ "มิตาเกะ" งดงามอย่างเรียบๆ เป็นธรรมชาติ เหมาะกับรสนิยมของ "ศรีบูรพา" ไม่หวือหวา หรูหรา และโด่งดังอย่าง "นิกโก" ซึ่งใครๆ ก็รู้จัก ใครๆ ก็ไปเที่ยวแต่ "มิตาเกะ" มีคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้จักมากมาย คล้ายเป็นที่ลี้ลับ และมีความเฉพาะเป็นส่วนตัวของคนบางคน เราไต่เขาตามทางเดินที่คดเคี้ยวไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงประตูเข้าศาลเจ้า "มิตาเกะ" ที่ด้านหน้าประตู มีบ่อน้ำและกระบวย  "มิตาเกะ" เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ตามแบบศิลปะญี่ปุ่นที่เราเห็นทั่วไป งดงามเป็นระเบียบ และที่สำคัญคือสะอาดมาก  ในทัศนะของข้าพเจ้า ศิลปะญี่ปุ่นเก่านับว่าพัฒนาไปสู่ความเป็นสุนทรีสุดยอดแม้จะได้อิทธิพลจีนราชวงศ์ถังมา  ศาล "มิตาเกะ" มีส่วนผสมระหว่างชินโตและพุทธศาสนาพูดง่ายๆ คือ ผสมระหว่างศาสนาเดิมของญี่ปุ่นที่มีเทพเจ้าและการบูชาบรรพบุรุษ กับการถือพระรัตนตรัย วันนั้น ข้าพเจ้าเดินลงจาก "มิตาเกะ" ด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบดีใจที่ได้มาเห็นภาพของ "ข้างหลังภาพ" นึกถึงความรักและความตายอันเจ็บปวดของคุณหญิงกีรติ เธอร่วงโรยไปพร้อมกับระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อเกิดการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ในขณะที่นพพรชายหนุ่มซึ่งเป็น "คนใหม่" กำลังมากับ "สังคมใหม่" เป็นนักเรียนนอกและนายธนาคาร กำลังทำท่าจะมีอนาคตรุ่งโรจน์ทั้งด้านการงานและชีวิตครอบครัว  "ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใดดอก แต่เป็นภาพชีวิตรักที่สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมและกาลเวลา"  ขอบคุณครับ "ศรีบูรพา" ที่สอนให้ข้าพเจ้า "รักธรรมศาสตร์" "รักประชาชน" และยัง "รักวรรณกรรม" อีกด้วย 000 ประกาศเกียรติคุณ  "รางวัลศรีบูรพา" ประจำ 2552 แด่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ คณะกรรมการกองทุนศรีบูรพา มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมสมควรได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี 2552  นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นนักประวัติศาสตร์ นักคิด นักเขียน และครู เกิดเมื่อวันอังคารที่ 6 พฤษภาคม  2484 ที่อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อจบชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดราชบุรีแล้ว จึงสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ ร.ร. สวนกุหลาบวิทยาลัย และคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามลำดับ จบเป็นบัณฑิตสอบได้ที่ 1 เกียรตินิยมดี และได้รับรางวัลภูมิพล 6 เดือน จากนั้นได้รับทุน จากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ไปศึกษาต่อปริญญาโททางการทูตทีสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา2 ปี จากนั้นต่อระดับปริญญาเอก ด้าน South East Asian History  ที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล มลรัฐนิวยอร์ก 5 ปี โดยเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง The Rise of Ayudhya เมื่อกลับมาประเทศไทย เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในมหาวิทยาลัยหลายตำแหน่ง อาทิ หัวหน้าสาขาวิชาประวัติศาสตร์  รองผู้อำนวยการและกรรมการสถาบันไทยคดีศึกษา คณบดี รองอธิการบดี และอธิการบดี  ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นนักวิชาการและครูจริงแท้ มีความรู้จริง เป็นตัวอย่างของนักเรียนในระบบ เป็นนักวิชาการ มีความคิดก้าวหน้า มีความกล้าหาญในการแสดงออกทางความคิด และมีความกล้าหาญทางจริยธรรมของความเป็นนักวิชาการที่จะตีแผ่ "ความจริง" ในทุกเรื่องที่กำลังเป็นปัญหา เขาใช้ความรู้ที่มีจากระบบการศึกษา และการเรียนรู้ใหม่ๆ เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัย ทั้งในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งในเวทีสัมมนา สร้างผู้รู้ให้สังคม ทั้งยังผลักดันให้เกิดโครงการต่างๆ ที่ลงสู่เวทีชาวบ้านในรูปแบบ "ตลาดวิชา" เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเหตุการณ์ และพัฒนาการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมไทย และประเทศเพื่อนบ้าน  เป็นนักคิดผู้ติด "อาวุธทางปัญญา" บุกเบิกความคิดใหม่ๆ ผ่านผลงานทั้งที่เป็นงานเขียนรวมเล่ม หนังสือกว่า 75 เล่ม บทความมากกว่า 200ชิ้น บทเขียน "คำนำ" อีกมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งบทวิจารณ์หนังสือ ภาพยนตร์ ละครและดนตรี และนวนิยายสำหรับเด็ก รวมทั้งเป็นนักแปลและบรรณาธิการอีกด้วย ไม่ว่าบรรณาธิการต้นฉบับเขียน ต้นฉบับแปล ต้นฉบับรวมบทความ  เป็นนักประวัติศาสตร์ก้าวใหม่ โดยเป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์ที่เปิดยุคสมัยของการศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งไทยและเพื่อนบ้านให้ก้าวพ้นจากการบอกเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วอย่างแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา มาเป็นประวีติศาสตร์ที่มีชีวิตชีวา มีผู้คนหลากหลาย มีการแย่งชิง มีสุขสงบ มีหยาดเหงื่อ น้ำตาและเลือด ในแบบที่จินตนาการได้และเข้าใจได้ โดยนอกจากการบรรยายให้ความรู้แล้ว เขายังสร้างผลงานประวัติศาสตร์ในรูปหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์มีมากมายทั้งที่เขียนคนเดียว และที่เขียนร่วมกับผู้อื่น โดยมีทั้งประเภท "บุกเบิก" "เติมเต็ม" "ชำระสะสาง" และ "รื้อฟื้น" เรื่องราวเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ด้วยมุมมองในแนวของความรัก ความเข้าใจธรรมชาติของมนุษยชาติ การอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ และสันติทั้งภายในสังคมนั้นๆ และกับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน  เป็นนักบุกเบิกความคิดใหม่ๆ เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาสร้างผลงานทั้งด้านวิชาการ และด้านกายภาพให้มหาวิทยาลัย นับเป็นมรดกตกทอดจนถึงทุกวันนี้ เช่น การเขียนประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในชื่อหนังสือ สำนักนั้นธรรมศาสตร์และการเมือง (2535) การสร้างจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ โครงการ TU Walking Tour หนังสือ ธรรมศาสตร์และการเมืองเรื่องพื้นที่ (2548) ปืนใหญ่ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่ถูกขุดขึ้นมาเมื่อมหาวิทยาลัยมีอายุครบ 50 ปี และวางตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ "สปอร์ต คอมเพล็กซ์" ที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต หอจดหมายเหตุ และหอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นต้น  ด้วยผลงานอันมีประโยชน์ต่อสังคมและมนุษยชาติต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมา คณะกรรมการกองทุนศรีบูรพาจึงขอประกาศเกียรติให้นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นผู้ได้รับรางวัลศรีบูรพาประจำปี พ.ศ. 2552 นับเป็นผู้ได้รับรางวัลศรีบูรพาลำดับที่ 21 และขอแสดงความยินดีด้วยกับขอเป็นกำลังใจให้สร้างสรรค์งานอันทรงคุณค่าต่อไปอย่างเต็มกำลัง ประยอม ซองทอง ประธานกองทุนศรีบูรพา 
  | |||
  
  | 
Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น