วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผู้ตายแล้วฟื้น


วันที่ 05 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11439 มติชนรายวัน


พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผู้ตายแล้วฟื้น


โดย ชมพูนุท นำภา




ขึ้นชื่อลือชาว่าดูดวงแม่นมาก บางรายถึงขั้นยกให้เป็นปรมาจารย์

ไม่ใช่พ่อมดพ่อหมอจากสำนักไหน แต่เป็นผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม @ พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ@นั่นเอง

นอกจากงานอดิเรกที่ชื่นชอบอย่างการดูดวงแล้ว ยังหลงใหลในบทกลอนพอๆ กับความรับผิดชอบในหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีกวีในดวงใจคือสุนทรภู่

พ.ต.อ.ขิง ปัจจุบันอายุ 57 ปี เป็นบุตรของนายเช้ง นางละออง แขวงวิเศษชัยชาญ แต่งงานแล้วมีบุตรสาว 2 คน

เกิดวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2495 ที่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เรียนหนังสือชั้นประถม และมัธยมศึกษาตอนต้นที่วิเศษชัยชาญ ย้ายมาเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3-4 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จากนั้นสอบเข้าเตรียมทหารรุ่นที่ 12 และโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 28

"ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ" นั้นเป็นชื่อและนามสกุลที่เพิ่งเปลี่ยนจากเดิมคือ "บุญชัย มาลัยศิริรัตน์"

ผู้กำกับขิงบอกว่า ที่เปลี่ยนชื่อเพราะ "บุญชัย" ไม่มีใครเรียก เลยนำชื่อเล่นคือ "ขิง" มาใช้ ส่วนนามสกุลที่ใช้ "แขวงวิเศษชัยชาญ" เพราะเป็นคนอ่างทอง เกิดที่วิเศษชัยชาญ จึงอยากให้ใครก็ตามที่เห็นนามสกุลนี้ได้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวแขวงวิเศษชัยชาญ ได้ร่วมกับชาวหมู่บ้านบางระจัน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนไทยที่ได้เสียสละชีพเพื่อแผ่นดินไทย

ชีวิตนายตำรวจของ พ.ต.อ.ขิง ตระเวนมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เจอเหตุการณ์ระทึกขวัญมาก็เยอะแต่ไม่มีครั้งไหนจะระทึกเท่าช่วงที่ย้ายมาเป็นผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม

ที่แห่งนี้ชีวิตของผู้กำกับขิงได้เข้าไปเฉียดกับความตายมาแล้ว สัจธรรมที่เคยพร่ำบอกตัวเองมาตลอด ก็พลันกระจ่างสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง

"อีกสามปีจะเกษียณ เป็นวัยชราแล้ว ถือว่าไม่ต้องการความก้าวหน้าอีกแล้ว แต่ต้องการความเจริญและยั่งยืนให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง" เป็นคำพูดอันหนักแน่นของชายชาติตำรวจผู้นี้

โปรดติดตามด้วยใจระทึกโดยพลัน

@ ชื่อขิงนี้มีที่มา

แม่คลอดตอน 7 เดือน ยายตัดสายสะดือแล้ววางบนมือ โอ้ย..หลานฉันยังกับแง่งขิง เลยชื่อ "ขิง" ตามปากยาย ผมแต่งเป็นกลอนเลยนะ ว่าอย่างนี้ เมื่อแรกคลอดตัวน้อย จ้อยเท่าขิง ยายว่าจริง เออหลานกูดูเหมือนข่า จับประแป้ง แต่งผ่องดั่งทองทา เรียกชื่อว่า ชื่อขิง ชื่อจริงมัน

ต่อมาพอครบเกณฑ์เข้าโรงเรียนคนอื่นเขาชื่อเพราะๆ กัน ก็เลยร้องไห้ขอเปลี่ยนชื่อ พระเลยเปลี่ยนให้เป็น "บุญชัย" เชื่อไหมว่าไม่มีคนเรียก รับราชการมาหลายปีก็ยังไม่มีใครเรียกเลย ไม่มีใครรู้จักด้วย ก็เลยเปลี่ยนเป็น "ขิง" เหมือนเดิม

@ ทำไมเลือกเรียนนายร้อย

เพราะฟ้าลิขิต ถามว่าชอบมากไหมก็เฉยๆ จะว่าเท่มันก็เท่ เพราะนักเรียนนายร้อยมันเท่ เมื่อเทียบกับวัยรุ่นด้วยกัน คำว่านักเรียนนายร้อยมันมีระเบียบวินัยไม่เลอะเทอะ

@ เลือกตำรวจ

จริงๆ ผมเรียนไม่เก่ง ทีนี้พวกเก่งๆ จะสมัครตำรวจ ผมเลยเลี่ยงมาสมัครทหารบก จนใกล้จะจบเตรียมทหาร ปี 2 เพื่อนที่สอบติดตำรวจก็มาขอเปลี่ยนกับเราบอกว่าแม่ไม่อยากให้เป็นตำรวจ เลยไปพบผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารในเวลานั้นเพื่อขอเปลี่ยนเหล่ากัน วิถีชีวิตเปลี่ยน ณ บัดนั้น คิดดูสิอีกไม่กี่วันจะเป็นทหารอยู่รอมร่อ



@ รับราชการตำแหน่งแรกเป็นอย่างไร

อยู่รถวิทยุนครบาล สมัยนั้นยังไม่ได้เรียก 191 อยู่ไม่นานก็ย้าย ไปเป็นรองสารวัตรสอบสวนอยู่บางขุนเทียน ยุคนั้นโรงพักยังเป็นเรือนปั้นหยาอยู่ริมน้ำ หน้าน้ำก็น้ำท่วม แล้วพนักงานสอบสวนสมัยก่อนต้องสอบสวนเอง ไปตามจับผู้ร้ายเองด้วยนะ แต่คดีก็ไม่เยอะเท่า เพราะประชากรกรุงเทพฯ ตอนนั้นแค่ 3-4 ล้านคน เดี๋ยวนี้ 10 กว่าล้านคนแล้ว

@ ก่อนหน้านี้เคยอยู่เค 9

อยู่ 3 ปี จากเดิมที่เราไม่เคยเลี้ยงหมาสักตัว แต่พอไปอยู่ก็ต้องศึกษา ศึกษาแล้วก็เลยเข้าใจ ถ้าจะให้แนะนำสุนัขเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านนะ จะบอกให้พันธุ์ที่ดีที่สุดและไม่เกเร คือ อัลเซเชียน

@ แล้วหมาไทยไม่ดี?

ก็ดีนะไม่ใช่ไม่ดี เลี้ยงง่าย แข็งแรง แต่สมาธิสั้น ไม่ค่อยมีระเบียบวินัย จะพูดว่าเหมือนคนไทยเดี๋ยวก็หาว่าปากเสีย แต่จริงๆ คือใช่ พี่น้องไทยพอพูดถึงระเบียบวินัยนะโอ้โห..ไข้ขึ้น เช่น เหตุการณ์ไม่นานนี้ที่รัฐบาลอยากให้คนไทยใส่หมวกกันน็อค โหย...ออกนโยบายนี้มาถูกด่าไม่เว้นวันเลย หาว่าไปอี๋อ๋อกับบริษัทผลิตหมวก โอ้..หัวตัวเองไม่รัก ทีเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เอาง่ายๆ สิงคโปร์ ระเบียบจัดจ้านเหลือเกินถ่มน้ำลายส่งเดชไม่ได้ คนไทยไปทำตามระเบียบเขาได้ แต่พออยู่บ้านเรารกรุงรัง ทิ้งขยะเกลื่อน อยากทิ้งอะไรก็ทิ้ง นี่...พี่น้องไทยเรา

@ สน.ชนะสงครามวุ่นวายไหม

มีบ้าง พื้นที่แค่ 2.09 ตารางกิโลเมตร แต่ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญ คือ 1.สนามหลวงเป็นห้องรับแขกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีคนทุกชนชั้น จะเรียกร้องประชาธิปไตยก็ต้องสนามหลวงก่อน 2.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3.อาณาจักรกองสลากฯ น่าเป็นห่วงมาก เพราะเวลามีประท้วงทีไรเอะอะก็จะเผากองสลากฯ นั่น...เผาสังเวยความป่วยของตัว เผาแล้วไม่มีหวยเล่นจะทำไง มิป่วยกันหนักกว่าเดิมหรือ

และ 4.ถนนข้าวสาร ดังที่สุดในโลก ฝรั่งเขาสื่อกันว่าชีวิตหนึ่งถ้ายังไม่ได้มาถนนข้าวสาร ชีวิตยังเติมไม่เต็ม เพราะอย่างนั้นเขาถึงมากัน วันหนึ่งๆ อย่างน้อย 5,000 คนขึ้นไป

แต่รับมือกับฝรั่งไม่ยาก เขามีวินัย เขารู้ตัวเขาผิด อย่างเวลาเขาเมาไม่รู้เรื่องเราจับเขามาสงบสติอารมณ์ เช้ามาเอาเลย..ไอ แอม ซอร์รี่ ไอ แอม ซอร์รี่ บอกถ้าตำรวจไม่จับมาสงบสติอารมณ์ไว้ในห้องขัง อาจจะไปโดนใครเหยียบตายก็ได้ แต่ของเราเด็กแว้นถูกตำรวจจับส่งศาลไปแล้ว พ่อแม่ยังจะมาลูกชั้นไม่ผิด ลูกชั้นไม่ผิดอยู่นั่นแหละ

@ ให้คำแนะนำลูกน้องอย่างไร

เราบอกว่าคนที่มาโรงพักเนี่ย คนป่วยทั้งนั้น ผู้ต้องหาถูกจับมาก็คือคนป่วย ผู้เสียหายมาโรงพักแจ้งความก็ป่วย อย่างน้อยก็ภาวะจิตสะเทือนเพราะถูกกระทำ ฉะนั้น เราเป็นตำรวจ เราเป็นเหมือนหมอสังคม ต้องไม่ป่วยตามผู้ต้องหา ไม่ใช่ว่าอยากช่วยผู้ต้องหาแล้วไปอินกับเขา โห..เขม่นเข่นเขี้ยวกับผู้เสียหายเชียว แบบนี้ไม่ได้ เราต้องไม่ป่วย

@ ที่ สน.ชนะสงครามเป็นที่ทำให้ผู้กำกับเกือบเอาชีวิตไม่รอด

อืมม...ใช่ วันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา ทำงานเสร็จเข้านอนที่ห้องทำงานตอนเที่ยงคืนตามปกติ กระทั่งตี 2 ร่างกายปลุกเราให้เข้าห้องน้ำ ว่าจะสูบบุหรี่ ก็รู้สึกว่าหายใจได้แค่ครึ่งท้อง สูดอากาศไม่เต็มปอด แต่ก็เข้านอนต่อทั้งที่หายใจครึ่งท้อง จนตี 4 ร่างกายปลุกเข้าห้องน้ำอีกที อยู่ๆ ลมหายใจจากเดิมเหลือแค่ครึ่งท้อง เหลือไม่ถึงครึ่งซะแล้ว มีแววว่าจะไม่เหลือลมหายใจด้วย ร่างกายก็สั่นสะท้านไปหมด รีบกดโทรศัพท์ไปหาภรรยาที่บ้านเล่าอาการให้ฟังแล้วบอกว่าจะให้ลูกน้องพาไปโรงพยาบาล

ตอนนั้นแวบหนึ่งในสมองบอกกับตัวเองว่า...คุณขิง ดวงคุณไม่มีตายส่งเดชแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างตัว ไม่เห็นหน้านะ รู้แต่เขาทรงพลัง...ทรงอิทธิพล...ทรงอำนาจมาก พอคิดได้อย่างนั้นรู้สึกเหมือนตัวถูกกระชากอย่างแรง ตกใจกลัวสุดขีด เลยเริ่มท่องคาถาในใจ เป็นพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นคาถาประจำวันของวันวิสาขบูชาพอดี

ระหว่างเริ่มท่องเราก็อินไปกับพระคาถา ร่างกายก็สงบนิ่ง เขาคนนั้นก็นิ่งกับเราเหมือนกัน ไม่ยุ่งกับเราอีก แต่ยังยืนอยู่ข้างๆ เรา จนสายตรวจมาประคองไปที่รถ เขาคนนั้นก็เดินตามเราไป ขึ้นรถไปกับเราด้วย เหมือนกับมาคุมผู้ต้องหา

ใช้เวลา 2 นาทีถึงโรงพยาบาล หมอพยาบาลก็เอาหน้ากากออกซิเจนมาครอบ เอาสายน้ำเกลือร้อย เจาะเลือด เราก็หลับตาท่องคาถาเรื่อยไป ท่องจบแล้วท่องใหม่ท่องไปเรื่อย หมอก็ปั๊มหัวใจไปเรื่อย

จนกระทั่งตีห้ายี่สิบ คลื่นหัวใจนิ่งไป 30 นาที ตัวเขียวไปหมด ทั้งหมอพยาบาลปั๊มจนขี้เกียจปั๊ม ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงชักปลั๊กออกเก็บใส่ถุงแล้ว แต่ปรากฏว่าเรากลับมาอีก รู้ว่ากลับมาแต่ยังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะถูกพันธนาการไว้ด้วยฝาครอบ อะไรโยงเต็มไปหมด รู้สึกว่าเขาคนนั้นไปแล้วด้วย แต่ยังท่องคาถาจนพักใหญ่ก็เกิดเป็นตะคริวที่ขา ถ้าปล่อยไว้กลัวจะลามไปที่ท้องเข้าหัวใจตายอย่างเดียว ก็พยายามบอกหมอ พยาบาลมากดเท้าให้ โอ้ย..ยิ่งเป็นหนัก รู้ไหมผมรวบรวมพละกำลังที่มีกระโดดลงจากเตียงพรวดพราดเลย ทั้งสายระโยงระยางนั่นแหละ ก้มคอลงน้ำไหลจากปากบานตะเกียงไม่รู้มาจากไหน พอโดดลงเครื่องหัวใจทำงานเลย ความดันจากที่มาถึงใหม่ๆ เขาวัดได้ตัวบน 240-260 นี่มันคนตายแท้ๆ ก็กลับลดมาเหลือปกติคือ 70-100

สรุปหมอลงความเห็นว่าน้ำท่วมปอดฉับพลัน และเส้นเลือดหัวใจตีบตัน 3 เส้น

@ ทำไมต้องท่องคาถา

ผมอยากบอกทุกคนว่าวันหนึ่งเมื่อต้องเจอกับ "เขาคนนั้น" สุดแท้แต่จะเรียกว่าอะไร บ้างก็เรียกมัจจุราช บ้างก็เรียกพญายม แต่ผมเรียกว่า "เขาคนนั้น" วันหนึ่งทุกคนต้องเจอ เมื่อเจอต้องกลัวเขาแน่ อยากจะบอกว่าอย่ากลัวจนสติแตก อย่ากลัวเกินเหตุไป ให้ตั้งสติให้ดี ท่องพระคาถาที่เราท่องได้ คาถาอะไรก็ได้ที่ท่องได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ท่องเพื่อให้ร่างกายเราสงบนิ่งระงับ เมื่อร่างกายเราสงบนิ่งระงับ เราจะรู้สึกมีความสุขมาก มาตรแม้นว่าเขาจะเอาเราไปจริง เราก็จะไปสู่สุขคติภูมิ ไม่ไปอบายภูมิแน่

@ สรุปแล้วชีวิตตำรวจเป็นไปตามที่หวังไว้

ส่วนที่หวังก็ไม่ได้ มาบัดนี้แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ฟ้าลิขิตเพียงเท่านี้

@ เป็นคนชอบอ่านบทกลอน บทกวี

ชอบสุนทรภู่ ส่วนใหญ่จะชอบกลอนแปด โดยเฉพาะพระอภัยมณี หรือสวัสดิรักษาก็ชอบ แล้วผมอยากจะปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือให้กับลูกหลานไทย ก็เลยเขียนสามก๊กเป็นกลอนให้เข้าใจง่าย เนื้อหาไม่ตัดตอน ตัวละครไม่ตัดทิ้ง ตอนนี้เขียนได้ 9 บทแล้ว เกือบ 200 หน้า จากทั้งหมด 87 ตอน

@ สนใจโหราศาสตร์ด้วย

โหราศาสตร์เป็นวิชาสถิติของคนโบราณ เขาเก็บไว้หลายพันปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นถามว่าเชื่อถือได้ไหม เชื่อถือได้ถ้าข้อมูลดี ข้อมูลตรง ไม่ใช่ว่า เกิดวันจันทร์ ปีจอ เดือนเจ็ด วันที่เท่าไหร่ไม่ทราบ เวลาตอนอีเผือกตกลูก ข้อมูลแบบนี้ว่าถามหน่อยว่าจะเอาอะไรมาดู ดาต้าไม่ดี ประมวลผลก็ไม่ตรงสิ

@ ใช้โหราศาสตร์เป็นหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ด้วย

ผมเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิตที่จุฬาฯ อยากจะท้าทายจึงทำวิทยานิพนธ์หัวข้อ "โหราศาสตร์มีบทบาทในการตัดสินใจกับนักบริหารอย่างไร" ซึ่งได้ข้อสรุปว่ามีส่วนร้อยเปอร์เซ็น ไม่ว่าไทยหรือเทศ ฝรั่งมังค่ายังเอาโหราศาสตร์ไปประมวลแล้วนำมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลย

อย่างขงเบ้ง ยังต้องดูดวงดูดาว กำหนดลมตะวันตกเผากองทัพโจโฉ เพราะเขาคิดโหราศาสตร์เป็นว่าลมจะพลิกผัน แต่ข้อสำคัญคือเก่งจริงหรือเปล่า หรืออย่างมหาเถรคันฉ่องจับยามสามตาดูดวง

@ ศึกษามานานหรือยัง

ตั้งแต่ปี 2519 ตอนนั้นย้ายไปอยู่พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เหงาๆ ก็อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มีคอลัมน์ฝ่ามือพยากรณ์ ก็ตัดมาเก็บไว้เรื่อย ศึกษาแล้วดูของตัวเองบ้าง ดูของคนอื่นบ้าง แล้วช่วงนั้นมีชันสูตรพลิกศพที่ไหนก็แล้วแต่ผมจับมือปั๊มเลย เอามาเปรียบเทียบดู เออ..นี่ตายนี่เป็นแบบนี้ คือเริ่มเรียนรู้จากหนังสือพิมพ์ เรียนไปชักตัน หมดวิชา ก็พอดีไปเจอพระ ท่านแนะนำหนังสือโหราศาสตร์ เป็นตำราของหลวงวิศาลดรุณกร เราก็ไปซื้อมาลองศึกษา ติดขัดก็ถามพระ ถามคนที่รู้ ใครรู้เราก็ถามหมด

@ ประโยชน์ของโหราศาสตร์

ถ้าให้เปรียบ เสมือนว่าหากเรารู้ว่าเราจะเดินทางไปข้างหน้านี้แล้วฝนต้องตกแน่ เราก็ถือร่มไป ทำนองกลับกัน เรารู้ว่าจะเดินทางไปตรงนี้แล้วฝนฟ้าไม่ตก ถามว่าจะถือร่มไปให้เมื่อยมือทำไม นี่แหละความสำคัญของโหราศาสตร์

@ เป้าหมายหลังเกษียณ

จะสร้างโรงเรียนสอนโหราศาสตร์ ให้เอาไปใช้บำบัดความป่วยไข้ของสังคม


หน้า 17
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun01050752&sectionid=0140&day=2009-07-05





ดูส่วนอื่นๆ ของ Windows Live™ มากกว่าเมล–Windows Live™ เป็นยิ่งกว่ากล่องรับอีเมลของคุณ มากกว่าข้อความ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น