วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11457 มติชนรายวัน
ไม่มี"ชนชาติขอม"อยู่ในโลก เป็นชื่อทางวัฒนธรรม ใครๆ ก็เป็น"ขอม"ได้ ถ้านับถือพราหมณ์ หรือพุทธมหายาน
คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม
ปรับปรุงจากหนังสือ 2 เล่ม ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ
(อักษรไทย มาจากไหน? สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2548
(คนไทย มาจากไหน? สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2548
"ขอม" เมืองละโว้
ละโว้เป็นรัฐประชาชาติ ที่มีประชากรหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งหลักแหล่งกระจัดกระจายปะปนอยู่ด้วยกัน แล้วล้วนเป็น "เครือญาติ" กันทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเป็นเครือญาติชาติภาษา เพราะในยุคนั้นภาษายังร่วมกันใกล้ชิดกว่าทุกวันนี้จนแยกไม่ได้แน่นอนเด็ดขาดอย่างปัจจุบัน
ประชากรรัฐละโว้นับถือศาสนาต่างกันอย่างน้อย 3 ศาสนา คือ ศาสนาผี เป็นของพื้นเมืองดั้งเดิม ศาสนาพราหมณ์ กับศาสนาพุทธ รับจากชมพูทวีป (อินเดีย)
เฉพาะศาสนาพุทธ ครั้งนั้นกำลังยกย่องนิกายมหายาน ที่มีต้นแบบอยู่เมืองพิมาย (เมืองนครธมก็ได้แบบไปจากเมืองพิมายด้วย) ซึ่งล้วนสร้างศาสนสถานด้วยหิน ที่เรียกภายหลังว่าปราสาทหิน เช่น ปราสาทหินพิมาย เป็นฝ่ายพุทธมหายาน
พราหมณ์กับพุทธมหายานเน้นพิธีกรรมเป็นสำคัญ เห็นได้จากชีวิตประจำวันที่หมดไปกับการบวงสรวงพลีกรรมอย่างทุ่มเทเพื่อสังเวยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจเหนือธรรมชาติที่มนุษย์ไม่รู้จักและควบคุมไม่ได้ จนท้ายสุดก็รับไม่ไหว เลยหันไปพึ่งพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทสืบจนทุกวันนี้
คนสมัยต่อมาที่นับถือพุทธเถรวาท มีความทรงจำเรียกพวกนับถือพราหมณ์กับมหายานเมืองละโว้อย่างรวมๆ ว่า "ขอม" ทั้งหมด โดยไม่ได้จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์หรือชาติภาษา
(ภาพบน) - พลไพร่ในขบวนแห่ของ"ขอม"ละโว้จากสองฝั่งเจ้าพระยา และสยามจากสองฝั่งโขง ต่อมาเมื่อใช้ "อักษรไทย" ก็เรียกตัวเองว่า"คนไทย" เพราะเติบโตขึ้นเป็นชนชั้นสูง มีอำนาจปกครองบ้านเมืองและรัฐในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (ภาพล่าง) - ขบวนแห่สยามอยู่หน้าสุด (ขวา) ตามด้วยขบวนแห่"ขอม"ละโว้ อยู่ถัดไป (ซ้าย) บนภาพสลัก"ระเบียงประวัติศาสตร์" ที่ปราสาทนครวัดในกัมพูชา แสดงว่าชาวสยามในตระกูลไทย-ลาว กับชาว"ขอม"ละโว้ในตระกูลมอญ-เขมร เป็น"เครือญาติ""อยู่ปะปนกันแล้วรับแบบแผนอิทธิพลทางวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน เป็นเหตุให้ชาวสยามรับตัวอักษรขอม(เขมร)ไปใช้จนคุ้นเคย ในที่สุดก็วิวัฒนาการเป็นอักษรไทย |
มีหลักฐานเก่าสุดอยู่ในจารึกวัดศรีชุม (เมืองสุโขทัย) ซึ่งเป็นจารึกภาษาไทยเก่าสุดของรัฐสุโขทัยในคำว่า "ขอมเรียกพระธม" กับชื่อ "ขอมสบาดโขลญลำพง"
ขอมสบาดโขลญลำพง ไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้เป็นวงศ์เครือญาติของกษัตริย์กรุงสุโขทัยศรีสัชนาลัยนั่นแหละ
คำว่า "ขอม" ยังเรียกกันอีกหลายอย่าง เช่น "กรอม" หรือ "กล๋อม" หรือ "กะหลอม" หรือ "กำหลอม" และไม่ใช่ชื่อเรียกตัวเอง แต่เป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียก โดยมีความหมายทางวัฒนธรรมอย่างกว้างๆ เช่น หมายถึงพวกที่อยู่ทางใต้ แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาถึงลุ่มแม่น้ำโขง ตัดผมสั้น นุ่งโจงกระเบน นับถือฮินดู (พราหมณ์) หรือพุทธมหายาน ฯลฯ โดยมิได้ระบุชัดเจนว่าเป็นชนเผ่าชาติพันธุ์ใด และจะเป็นใครก็ได้ที่เข้ารีตอยู่ในระบบความเชื่ออย่างหนึ่งในดินแดนทางใต้แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาปากแม่น้ำโขง ในสมัยหนึ่งจะถูกเรียก "ขอม" ทั้งหมด
ในสมัยหลังๆ มักจะให้ "ขอม" หมายถึงชาวเขมรในกัมพูชา โดยไม่จำกัดกาลเวลา
แต่ชาวเขมรในกัมพูชาก็ไม่รู้จักคำว่า "ขอม" และไม่ยอมรับว่าตัวเองคือ "ขอม"
พงศาวดารกรุงสุธรรมวดี (สะเทิม) หรือ "สุธรรมวดีราชวงศ์" ของมอญ กล่าวถึงพวก "กรอม" (ขอม) ยกกองทัพจากกรุง "ละโว้-อโยธยา" ไปตีกรุงสุธรรมวดีเมื่อ พ.ศ.1599 (ค.ศ.1056) ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ ตรวจสอบได้ว่ามิได้หมายถึงชาวเขมรในกัมพูชา หากหมายถึงชาวสยามในบ้านเมืองและแว่นแคว้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ดังนั้นชื่อขอมสบาดโขลญลำพงในจารึกวัดศรีชุมตอนนี้ จึงมิได้หมายถึงขุนนางชาวเขมรจากกัมพูชา
จากร่องรอยความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นละโว้ (ลพบุรี) กับบ้านเมืองตอนบน เช่น สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ทุ่งยั้ง ฯลฯ ชื่อขอมสบาดโขลญลำพง ควรหมายถึงผู้มีอำนาจหรือเจ้าเมืองใดเมืองหนึ่งในเขตอิทธิพลของแคว้นละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งเป็นวงศ์เครือญาติเดียวกันกับตระกูลศรีนาวนำถุมแห่งกรุงสุโขทัยศรีสัชนาลัยนั่นเอง
อักษรขอม ก็คืออักษรเขมร
เมื่อเรียกชาวละโว้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่าขอม เลยเรียกตัวอักษรที่ชาวละโว้ใช้ทางศาสนาว่าอักษรขอมด้วย
ศาสนากับอักษรเป็นสิ่งคู่กัน เพราะอักษรใช้ในงานศาสนา ฉะนั้นอักษรจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งของคนยุคนั้น ผู้รู้อักษรก็เป็นบุคคลพิเศษได้รับการยกย่องเป็น "ครู" เสมอนักบวชหรือผู้วิเศษ ถึงขนาดมีอาคมบันดาลสิ่งต่างๆ ได้
คนในตระกูลไทย-ลาวสมัยก่อนๆ ยกย่องผู้รู้อักษรขอมว่า "ครูขอม" การลงคาถาอาคมที่เรียกว่า "ลงอักขระ" ตามสิ่งต่างๆ ต้องใช้อักษรขอม ก็คืออักษรเขมรนั่นเอง ยังใช้อย่างยกย่องสูงยิ่งสืบถึงปัจจุบัน
อักษรขอมไทย เขียนคำภาษาไทย ด้วยอักขรวิธีไทย ลงบนสมุดไทย เป็นตำรับตำรากฎหมายและวรรณคดีต่างๆ นี่เอง นานเข้าก็วิวัฒนาการเป็นตัวอักษรอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกกันภายหลังว่าอักษรไทย ดังจะเห็นรูปอักษรบางตัวยังเป็นอักษรเขมร เช่น ฎ ฏ ฐ ฑ ณ ญ เป็นต้น รวมทั้งเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ก็ได้จากเลขเขมรชัดๆ
"อักษรไทย"มาจากอักษรขอม(เขมร)
มีกำเนิดที่รัฐละโว้ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
อักษรไทย ไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์การประดิษฐ์คิดค้นของใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมีขึ้นในปีหนึ่งปีใดเพียงปีเดียว แต่อักษรไทยต้องเกิดจากความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสังคม ด้วยพลังผลักดันของศาสนา-การเมือง และวัฒนธรรมของสังคมในสยามประเทศเป็นระยะเวลายาวนานมากก่อนเป็นอักษรไทย โดยวิธีดัดแปลงจากอักษรที่มีอยู่ก่อนและใช้กันมาก่อนอย่างคุ้นเคย
ถ้านับจากอักษรไทย ย้อนกลับไปหารากเหง้า จะพบว่าได้แบบจากอักษรเขมรที่เรียก "อักษรขอม" ย้อนกลับไปเก่ากว่าอักษรขอมจะพบอักษรทวารวดี อักษรปัลลวะทมิฬ ตามลำดับ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นต้นแบบให้มีอักษรไทยขึ้นที่รัฐละโว้ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อราวหลัง พ.ศ.1700
หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01230752§ionid=0131&day=2009-07-23
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น