สมาธิชาวบ้าน
สูงสุดคืนสู่สามัญ
จากที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว ถึงแนวคิดในการรักษาโรคของคนยุคปัจจุบัน ที่มักแสวงหาการรักษาที่ซับซ้อนไกลเกินตัว ซึ่งบางคนกว่าจะรู้ตัวว่ามาผิดทางก็สายไปเสียแล้ว...
ทีนี้เรามาลองพิจารณาหลักการพื้นๆ กันดูบ้าง แน่นอนว่าการที่คนเราเจ็บไข้ได้ป่วย ย่อมเป็นเพราะระบบภายในร่างกายเสียสมดุล ดังนั้นทางแก้ง่ายๆ ก็คือ การทำให้ระบบภายในร่างกายกลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง
บางท่านอาจจะแย้งว่าฟังดูเหมือนง่าย แต่เมื่อลงมือปฏิบัติจะง่ายจริงอย่างว่าหรือไม่ ผมขอยืนยันว่าไม่มีอะไรยากจริงๆ ครับ ทุกอย่างอยู่ที่ใจเพียงอย่างเดียว ขอเพียงท่านมีใจที่มุ่งมั่นและมีวินัยในการดูแลสุขภาพของตนเอง ไม่ว่าท่านจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม ท่านก็สามารถที่จะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปได้อย่างมีความสุข และยืนยาวกว่าที่ควรจะเป็นอย่างแน่แท้
ดูอย่างท่านฤๅษีทั้งหลายผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ตามป่าเขาเป็นตัวอย่าง แม้พวกท่านจะอยู่ห่างไกลจากความเจริญทางการแพทย์ แต่ทำไมพวกท่านกลับมีสุขภาพที่แข็งแรงเสียยิ่งกว่าพวกเราส่วนใหญ่ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการอันทันสมัย
ด้วยภูมิปัญญาที่พวกท่านได้ค้นพบความลับ ในการนำพลังจากธรรมชาติมาใช้สร้างความสมดุลให้แก่ร่างกายของเรา ตามแนวทางที่ว่า "สาเหตุเกิดขึ้นที่ตรงไหนก็ต้องแก้ตรงที่เหตุนั้น" โดยอาศัยเพียงหลักการของธรรมชาติใกล้ตัวของเรา
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติ และหันกลับมาใช้ธรรมชาติเป็นแนวทางในการรักษาโรค อะไรที่มันมากเกินไปก็ปรับสมดุลให้มันปรกติเสียก็เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าภายในร่างกายมีภาวะร้อนเกิน ก็ต้องถอนพิษร้อนออกด้วยวิธีการทางธรรมชาติ และปรับให้เกิดความสมดุลแก่ธาตุภายในร่างกายของเรา
การปรับสมดุลให้แก่ร่างกายตามแนวทางธรรมชาติบำบัดนั้นสามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การใช้สมุนไพรล้างพิษ การค้นหาธาตุเจ้าเรือน การปรับสมดุลด้วยอาหารธาตุร้อน-อาหารธาตุเย็น การหายใจรักษาโรคแบบฤๅษี การเดินพลังกุณฑาลิณี และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การดีท็อกซ์ตามหลักวิชาฤๅษีล้างพิษ เพื่อขับพิษที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายออกไป ด้วยการขับออกทางการถ่ายอุจจาระ การอาเจียน การอบสมุนไพร การนวดไล่ลมปราณ การปัสสาวะ และการทำสมาธิ
เนื่องจากในร่างกายของเรามีพิษที่แตกต่างกันไปอยู่หลายชนิด ดังนั้นจึงต้องอาศัยวิธีการดีท็อกซ์อย่างฤๅษีทั้ง 6 วิธี (ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น) ในการกำจัดพิษเหล่านั้นออกมาจากระบบต่างๆ ของร่างกายตามช่องทวาร ประกอบกับการฝึกอบรมจิตด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา (เพื่อเอาชนะกิเลสภายในจิตใจ) เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเอาชนะโรคร้ายๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่ไม่ต้องพึ่งยาเคมี และไม่ต้องใช้วิทยาการอันซับซ้อนใดๆ ในการรักษาโรค
หมั่นพิจารณาธรรมชาติและร่างกายของเรา เมื่อเราเข้าใจถึงกระบวนการการใช้ชีวิตตามหลักธรรมชาติแล้ว (เข้าใจว่าชีวิตกับธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งเดียวกัน) ธรรมชาติจะช่วยรักษาชีวิตให้แก่เรา
ปัจจุบันโลกของเรากำลังเต็มไปด้วยพิษจากสารเคมี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งมนุษย์จะเริ่มเข้าใจว่า บรรดาสารเคมีที่ครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่ามันดีนั้น ที่แท้คือตัวการสำคัญที่หวนกลับมาทำร้ายชีวิตและสุขภาพของเราเอง
โลกของเรากำลังจะเข้าสู่ยุคของธรรมชาติบำบัด และเมื่อนั้นมนุษย์จะค้นพบความลับสองประการ หนึ่งคือ ธรรมชาติเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตมนุษย์เอาไว้ได้ และสองคือ การทำตัวให้เข้ากับธรรมชาติ คือหนทางการมีชีวิตรอดของมนุษย์ในยุคต่อไป.
--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น