วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผกก.เปิงมาง ซัดแม่-แฟน "เพชร" โกหก ก่อนแฉเละพร้อมลั่นฟ้องกลับแน่

ผกก.เปิงมาง ซัดแม่-แฟน “เพชร” โกหก ก่อนแฉเละพร้อมลั่นฟ้องกลับแน่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2552 00:53 น.
1 | 2
หน้าถัดไป
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น




ผู้กำกับหนังเปิงมาง ซัดกลับแม่บุญธรรมและแฟน “เพชร” โกหก โต้ไม่ได้โกงเงิน พร้อมปฏิเสธส่งแมสเสจขู่ฆ่า บอกมุกตื้นๆ พร้อมเตรียมฟ้องกลับหลายข้อหาหนัก ประกาศงานนี้ไม่มีไกล่เกลี่ย ก่อนแฉเละคู่กรณีเปิดโมเดลลิ่งเถื่อนรีดเงินลูกค้า
       
       โอละพ่อซะแล้ว สำหรับกรณีที่ “นางสุพรรณี สุประการ” และ “อ้อย ธิดารัตน์ อรรถรัตน์” แฟนสาวของเพชรได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ “เชนทร์ ณัฐพีระ ชมศรี” ผู้กำกับหนังเปิงมาง เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 2.5 แสน หลังให้เงินไปเพื่อเปิดบริษัทหนังเพื่อรับตัดต่อหนัง แต่กลับเชิดเงินหนีหายไปติดต่อไม่ได้
       
       กระทั่งเมื่อคืนของวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งเพชรและแฟนสาว พร้อมด้วยแม่บุญธรรม ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า สามารถจับกุมตัวผู้กำกับหนุ่มได้แล้ว จึงได้เดินทางไปที่ สน.ลาดพร้าว แต่ปรากฏว่า เกิดเหตุการณ์ชลุมุนขึ้น เมื่อเพชรเข้าไปชี้ตัวเชนทร์ตามที่เจ้าหน้าที่สั่ง แต่เชนทร์เกิดไม่พอใจโวยวาย ไล่ไม่ให้ยุ่ง เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพชร พร้อมกับปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยบอกว่าจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกที
       
       ล่าสุด ช่วงบ่ายของวันนี้ (6) เชนทร์ผู้กำกับเปิงมาง ก็ได้เปิดให้สัมภาษณ์ที่บริษัทหนัง “โอมมหารวย” ย่านรามคำแหง ซึ่งงานนี้เชนทร์ถึงกับเหลืออด แฉกลับสองแม่ลูกซะเละ ว่า เคยเปิดโมเดลลิ่งเถื่อน เรียกเก็บเงินกับลูกค้าแล้วไม่หางานให้ ส่วนเรื่องเชิดเงิน 2.5 แสนบาท ยอมรับว่า รับมาจริง แต่ที่ยังไม่ได้ซื้อเครื่องตัดต่อ ก็เพราะว่าเงินที่โอนมาให้ไม่พอ โต้แหลกไม่ได้ปิดเครื่องหนี สวนกลับจะคืนเงินให้ แต่คู่กรณีต้องจ่ายค่าจ้างที่ทำงานให้ร่วม 4 เดือนมาด้วย และที่แม่กับอ้อย บอกว่า ตนเป็นคนขอร้องให้เปิดบริษัทให้นั้น จริงๆ แล้วตนเป็นฝ่ายถูกตื๊อถูกอ้อนวอนต่างหาก
       
       โดยการแถลงข่าวในครั้งนี้มี “ตุ้ม พุชงค์ สิริธัญผล” ประธานบริษัทโอมมหารวย ที่เชนทร์กำลังจะกำกับหนังเรื่อง “หนูกันต์ภัย ศึกมหายันต์ ยิงกันสะนั่นจอ” พร้อมด้วยพยานอีก 2 คน คือ “ตั้ม ธินภัทร บำเพ็ญ” และ “นริศรา ศรีสรรค์” ที่ยืนยันได้ว่า ในข้อตกลงต้องจ่ายสองหมื่น เพื่อแลกกับการจะได้เล่นหนังที่เชนจะกำกับจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำกับเชนทร์ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น
       
       “อ้อยเป็นเพื่อนของผมที่รู้จักกันมาเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว รู้จักกันในฐานะว่าเขาทำโมเดลลิ่งและผมเป็นเอเยนซีครับ ตอนนั้นผมไม่ได้ทำหนัง ผมก็หาเด็กมาแคสติ้งก็เลยได้สนิทสนมกัน ไปๆ มาๆ เด็กมันไม่ค่อยมีงาน ผมก็เลยเอาเด็กในโมเดลลิ่งเขาไปทำงานด้วย ก็เลยสนิทกันคนสายงานเดียวกัน อยากเข้าวงการบันเทิง ไปๆ มาๆ เริ่มสนิท มันเป็นโมเดลลิ่งเถื่อนนี่ อันนี้กล้าพูดเพราะว่าสามารถเช็กได้ เก็บข้อมูลได้ เด็กหลายคนที่เคยร่วมงานกับเขา ก็สามารถออกมาพูดได้ ไม่ได้จดทะเบียน ทำเหมือนว่าเป็นบริษัท พาเด็กมาถ่ายรูปเก็บเงินห้าร้อย แล้วไม่มีงานให้เขาทำ”
       
       “พอผมรู้ก็ไม่เอาดีกว่า เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็เลยคิดว่าเลิกเหอะอย่าทำเลย สุดท้ายก็คือเขาก็ยังทำอยู่ แต่ว่ามันเจ๊งไปเอง ด้วยความเป็นเพื่อนก็ดูแล เพราะว่าเขาร้องห่มร้องไห้เรื่องธุรกิจของเขา พอเขาประคับประคองจิตใจได้ เขาก็ไปอยู่เชียงใหม่ เชียงรายอะไรของเขาแหละ ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้น แต่ผมมีความหวังดี เนื่องจากเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่คงไม่ปล่อยผู้หญิงตาดำๆ เพราะแม่ผมก็ไม่ยอมรับธุรกิจเพราะว่ามันเจ๊งไง”
       
       “คุณนึกถึงตรงนี้บ้างเวลาคุณมาอยู่บ้านผมนะ คุณมานอนบ้านผมนอนร้องไห้รดพรมผม คุณคิดถึงตรงนี้หน่อย เขาถึงขนาดจะฆ่าตัวตาย ร้องห่มร้องไห้ทั้งคืน ไอ้คนนี้แหละไปนั่งปลอบมันกับแฟนผมสองคน ไม่ได้ทวงบุญคุณหรอก พอแม่เขาเรียกกลับไปเชียงใหม่เราก็สบายใจแหละ”
       
       “หลังจากนั้น พอผมได้เป็นผู้กำกับ เขาก็ติดต่อมาทางเมล เริ่มทำหลังเป็นผู้กำกับได้รางวัลด้วย ก็มีการเรียกไปคุย เพราะเขาย้ายมาอยู่บ้านหลังจากที่เขาไปคบกับเพชร แต่ผมไม่รู้จักเพชรหรอกนะ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ได้ไปเจอกัน แล้วสักพักเขาก็พูดเพราะว่าเขามีความใฝ่ฝัน ว่าเขาอยากจะทำงานในวงการบันเทิง เราก็อยากจะช่วยเพื่อนอยู่ แต่ก็ยังนึกในใจอยู่ว่าขอให้เลิกพฤติกรรมเดิมนะ อย่าทำแบบเดิมนะ ก็ยังนึกในใจมันคงไม่ทำหรอกเพราะว่ามันโตแล้ว แล้วก็เห็นว่ามีแฟนเป็นนักร้องด้วย แม่เขาก็จะออกตัว คือ แม่เขาเนี่ยจะชอบออกตัว ว่ารักผมเหมือนลูก ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่เชื่อหรอก แล้วจะให้ผมมาบอกว่า จะให้ผมรักเขาเหมือนแม่แท้ๆ ผมโกหกครับถ้าผมพูดอย่างนั้น เรามาคุยเรื่องธุรกิจดีกว่า”
       
       “ก็คือ เขาจะชวนผมทำธุรกิจ ก็ได้เกริ่นว่าอยากทำหนังเรื่องแม่พุ่มพวงนะ อันนี้คือเรื่องที่เขาเกริ่นมาตั้งแต่แรกทั้งเพชรทั้งแม่อ้อยเขาพูดหมด อยากทำหนังราชินีลูกทุ่ง คุยไปคุยมาด้วยความสนิทกันอยู่แล้ว ไว้เนื้อเชื่อใจว่าเขาคงเป็นคนดี เราก็เปิดทุกอย่างให้เขาดูอย่างที่เรามีว่าธุรกิจมันเป็นอย่างนี้นะ เราก็หวังดีเพราะเห็นว่าเขามีลูกผู้หญิงคนเดียว แล้วถ้าเกิดเราเป็นเพื่อนเปิดบริษัทให้เขาสองคน พอเราออกไปเขาก็สบาย เขาพาผมไปเลยหาบ้านหรูๆ เขาบอกว่าเขามีเงินเยอะ แล้วผมก็บอกว่าการที่จะทำแบบนี้ จะมาเป็นนายทุนต้องมีเงินเยอะ”
       
       “เขาคิดเปิดบริษัท แต่ผมปฏิเสธมาตลอด ไม่คิดที่จะทำ แต่ตื้อจนผมต้องทำ จนผมใจอ่อน เพราะว่างานของผมก็เยอะอยู่แล้ว ผมรับงานหลายอย่าง บทก็เข้ามาสองสามเรื่องตอนนั้นต้องเขียน หนังก็กำลังจะเปิดกล้อง เอาวะหวังดีว่าจะเปิดก็เปิด เขาจัดหาทั้งหมดเพราะว่าผมบอกแล้ว ว่าผมไม่ลงทุนนะ ผมแค่ลงความสามารถลงคอนเน็คชั่นเท่านั้น นั่นคือข้อตกลง แล้วที่สำคัญคุณต้องทำห้องตัดต่อให้ผมด้วย เพราะให้ผมมานั่งอยู่ในออฟฟิศอย่างเดียวสี่เดือนกับการที่ผมออกไปทำงาน แยกเวลาออกมาผมต้องได้ เพราะว่าผมไม่เคยทำงานให้ใครฟรีๆ ครับ ผมบอกไว้ก่อนผมไม่เคยทำงานให้ใครฟรีมาก่อน”
       
       “ผมบอกไว้แล้วว่าเครื่องตัดต่อประมาณสามแสนห้าถึงสามแสนเจ็ดนะ ยังสรุปไม่ได้เดี๋ยวค่อยว่ากันว่าเท่าไหร่ และกว่าที่ผมจะได้เงินมา นานมากกว่าจะได้ แล้วมันก็เริ่มมีอะไรไม่โปร่งใสมาเรื่อยๆ ทุกคนเข้าไปเตรียมงานเตรียมอะไรไว้หมดแล้ว ผมมารู้อีกทีว่าบ้านที่บอกว่าแต่งไปเป็นแสน ก็คือ เช่าเขาแค่หกพัน จริงๆ คือเจ้าของบ้านเขาแต่งไว้อยู่แล้ว ผมก็เออไม่เป็นไรว่ะ โตแล้วผมก็เก็บๆๆ ซื้อนู่นซื้อนี่เข้ามีแต่เราวิ่งงานอยู่คนเดียวทุกอย่าง เขานั่งเล่นเกมกันอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ว่า เราทนนะ น้องอยากเข้าวงการ เพชรอยากเป็นหนังอะไรก็สอนหมดทุกอย่าง พาเข้าไปแนะนำให้รู้จักกับ พี่โน๊ต เชิญยิ้ม พาเข้าพระนครฟิล์ม ยืนยันได้พี่โน๊ตยังบอกเออเดี๋ยวเอาเล่นเรื่องอีส้มสมหวังนะ เพราะหวังดีไง”
       
       “คือจากที่คุยกันว่ามันน่าจะเป็นการทำหนังที่พร้อมสมบูรณ์ มันกลายเป็นแค่ออฟฟิศเล็กๆ ที่เราต้องทำกันไป ผมถือว่าผมรับปากแล้วว่าผมจะทำผมก็ทำ แต่มันต้องมีข้อเสนอและข้อแลกเปลี่ยนอยู่แล้วครับ ก็คือคุณต้องทำห้องตัดต่อในจำนวนเงินเท่านี้นะ ที่คุณต้องให้ผม ตรงอื่นผมจะเอารายได้มาจากไหน ถ้าผมไม่ได้เอาตรงนี้เข้ามา ก็เอาเป็นว่าตกลงให้ผม เขาก็บอกว่าเขาอยากเปิดโรงเรียนสอนการแสดง แต่ผมไม่เห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่าผมไม่ชอบการหาเงินแบบนี้ แต่ถ้าอยากทำก็ไม่เป็นไร ก็บอกว่าเราจะช่วยให้เพราะว่าเรามีเครดิตกับผู้กำกับเดี๋ยวใครเข้ามาก็เอามาเล่นหนังนะ”
       
       “หลังจากที่เขาเปิดบริษัท เขาก็ไม่ได้จดทะเบียนบริษัท ขอให้จดก็ไม่จด และผมติดต่องานมาแล้วเป็นระยะเวลาสี่เดือน เขาก็บอกว่าเขาจะเอาบัญชีของเขาเนี่ย เขาบอกว่าแม่เขาทำเป็น เดี๋ยวไปอัดซ้ำอะไรที่เชียงใหม่ ผมบอกว่ามันไม่ใช่ไม่ได้ งานที่ผมติดต่อมาทั้งหมดเสียหายไหมครับ ผมถามหน่อยคุณไม่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แล้วผมทำทุกอย่างในชื่อผม นักแสดงมีรายชื่อร่วมกับหนังที่ผมจะทำตอนนั้น เขาคิดที่จะเปิดโมเดลลิ่ง แล้วเก็บคนละสองหมื่น แล้วบอกว่าใครที่มาเรียนจะได้เล่นหนังของผมทุกเรื่อง ทุกคนผมเคาะโต๊ะเลย บอกเฮ้ย ไม่ใช่”
       
       “แล้วที่ผมไม่พอใจเพราะว่าผมขายวิชาชีพของผมตรงนี้ไม่ได้ จรรยาบรรณครับ นี่คือมันเข้าข่ายที่จะหลอกลวงถูกไหม คุณจะให้ผมช่วยคุณแบบนี้เหรอ มันก็เกิดข้อขัดแย้ง คุณเอาเงินมาให้ผมซื้อเครื่องตัดต่อแค่สองแสนห้าโอนมาช้ามาก คุณเข้าใจไหม การที่ผมติดต่องานกับผู้ใหญ่มันต้องตรงไปตรงมา ผมอดทนอดกลั้นรอเงินคุณมาแล้ว คุณบอกว่าคุณมีเงินจะมาเป็นนายทุนแล้ว ทำไมคุณต้องไปกู้เงินเขามาซื้อเครื่องตัดต่อ แล้วให้ผมไปกู้ร่วมด้วย มันใช่เรื่องของผมไหมครับ ผมต้องมานั่งเสียของผมตรงนี้ ผมนั่งทำงานของผมดีอยู่แล้วเดือนละสองสามแสนอยู่แล้ว ผมถูกล่อลวงไหมเนี่ย”
       
       “ในข่าวลงว่าเขาโอนเงินมาให้ผมสามแสน เดี๋ยวดูหลักฐานกันในศาลดีกว่าครับก็จะรู้กันว่าอะไรคืออะไร แล้วก็ขอบอกไว้เลย เงินแค่สองแสนห้ามันน้อยมาก แต่ที่ผมต้องชี้แจงและเขาต้องมาชี้แจงกับผมถึงจะห้าปีผ่านไปสองแสนห้าตรงนี้มันก็ยังเป็นสองแสนห้าที่เขาบอกว่าสามแสน มันต้องชี้แจงครับว่าคุณล่อลวงผมไปสี่เดือนให้ผมไปทำงาน คุณให้อะไรผม ผมมีอยู่แล้วคุณพร้อมเคลียร์เมื่อไหร่ผมมีให้เสมอ แต่คุณบอกว่าสามแสนคุณต้องเคลียร์ไง”
       
       “เขาโอนเงินมาตอนสองทุ่มครับ เป็นจำนวนเงินสองแสนห้า แล้วเขาแจ้งความว่าเป็นตอนบ่าย แจ้งความเท็จหนึ่งและยอดก็ไม่ใช่ ยอดโอนมาแค่สองแสนห้าแต่ในหนังสือพิมพ์ลงว่า แจ้งความว่าสามแสน แจ้งความเท็จแล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินการหมิ่นประมาท หาว่าผมอุ้มลูกร้องไห้ไปขอเปิดออฟฟิศไม่จริงหรอกครับ คุณให้ผมไปทำเอง ไม่อย่างนั้นผมไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก ผมทำหนังอยู่ดีๆ”
       
       “ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผมทำหนังมา สตางค์แดงเดียว บาทเดียวผมก็ไม่เคยเอาของใคร ไม่เคยโกงใครสามารถท้าให้ทุกคนไปเช็คประวัติผมได้เลย เคยมีเรื่องกับผู้ดูแลเสื้อผ้าโกงเงินเจ้านายผมร้อยห้าสิบบาท ผมไล่ออกเลย แล้วพรุ่งนี้ต้องถ่ายใหม่เพราะว่าเขาเอาเสื้อผ้าไปด้วยสามแสน แล้วผมต้องสั่งซื้อใหม่สามแสนกว่าบาท ผมพูดเสมอว่าการโกงเงินร้อยห้าสิบบาท มันเป็นการโกงด้วยพฤติกรรม หรือคำหยาบ ก็คือ สันดาน คนแบบนี้จะเอาไว้กัดกินรากฐานเราเหรอครับ ผมเป็นคนไม่ชอบโกงใครอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ผมมีโอกาส การที่ผมเป็นผู้กำกับเขาให้เงินผมมาเป็นสิบยี่สิบล้านทำไมผมไม่ทำ ทั้งที่ผมทำได้”
       
       

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000076503


--
  ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น