วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บำรุง บุญปัญญา:วิพากษ์การเมือง...ขุนนางNGO-9 แกนนำอัปลักษณ์

การเมือง : News Maker

วันที่ 7 สิงหาคม 2552 12:21

บำรุง บุญปัญญา:วิพากษ์การเมือง...ขุนนางNGO-9 แกนนำอัปลักษณ์

บำรุง บุญปัญญา

บำรุง บุญปัญญา

 

 

เหลือง แดง น้ำเงินสู้ไปใต้กระบวนทัศน์เก่า แย้งทฤษฎี 2 นคราธิปไตย ภาคประชาชนเกิดขุนนางนักพัฒนา 9 แกนนำอัปลักษณ์ ชี้ต้องเป็นผู้รื้อ-ผู้สร้าง

นี่เป็นการสัมภาษณ์นักคิด นักเขียน นักพัฒนาอาวุโสภาคอีสาน ในภาวะการต่อสู้ทางการเมืองหลายสี หลายก๊กอำนาจจากข้างบน ขณะที่ขบวนการต่อสู้ภาคประชาชนข้างล่าง ก็ประสบปัญหาเกี่ยวเนื่องกัน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก เขาย้ำว่าต้องมีการปรับขบวนทัศน์ใหม่ รวมทั้งต้องสร้างเจเนอเรชั่นนักปฏิวัตินักปฏิรูปใหม่ ด้วยการสร้างองค์ความรู้ ถ่ายทอดเป็นหลักสูตร

หลายปีมาแล้วปัญหาค้าปลีกข้ามชาติรุกราน กำลังถล่มทุนท้องถิ่น ทุนชาติ เพราะล็อบบี้นักการเมืองผ่านนโยบายเปิดกว้าง อย่างง่ายดาย

    ก็จากกฎหมาย 11 ฉบับ ยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ สาระมันคืออะไร สรุปชัดๆ 3 ข้อง่าย ๆ

หนึ่ง ยอมให้ทุนเข้ามาลงและเอากำไรออกไปอย่างเสรี

สอง ครอบครองทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ได้จะ 99 ปีก็เหมือนชั่วชีวิตนั้นแหละ

สาม สามารถเทคโอเวอร์ ถือหุ้นรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปได้ 49 เปอร์เซ็นต์ใช่ไหม แต่ใช้นอมินีถืออีกเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พยายามทะลวง ซึ่งบางประเทศมันหมดไปแล้ว สำหรับประเทศไทยในเมื่อมันทำได้แล้ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย เขียนไว้ให้สวยไปสิ การทะลักของทุน หรือโกลบอไลเซชั่น ไฟแนนเชียล นั้น อินเวสเมนท์ ก็เป็นอีกตัวหนึ่ง

มีแนวทางปฏิบัติใดที่ชัดเจน จะทำให้สังคมพึ่งตัวเองได้
     การปรับตัวกับสภาพแวดล้อมอย่างไรต่อไป ขยายสิ่งที่เราพยายามทำ คล้ายกับสันติอโศก อย่างเวิลด์โซเชียลฟอรั่ม นี่ก็เป็นไปได้ใช่ใหม โลกที่สร้างโดยไม่ใช่ทุนนิยมก็ทำได้ น่าจะยี่สิบปี ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์พอเพียงก็ตาม เมื่อก่อนเราเรียกเศรษฐกิจพึ่งตัวเอง คือการสร้างตลาดภายในนั่นเอง คนที่นั่นเป็นคนคิด เราดูอโศกทำเยอะแล้ว พวกเราเองก็ทำอยู่ แต่เป็นกระแสยังไม่กว้างขวางพอ แต่โดยการกระเพื่อมแลกเปลี่ยนความคิดแนวทางกับอโศก สามารถขยายตัวไปได้ คนชั้นกลางก็ยอมรับแนวทางแล้ว สมมติมีกรีนฟาร์มเมอร์ มีกรีนเวิร์กเกอร์ กรีนมิดเดิลคลาส ก็จะช่วยได้

ต้องให้วิกฤติที่สุดก่อน คนจึงจะหันมาแนวทางนิเวศน์ ที่ผ่านมา น้ำมันลดราคาหน่อยก็ฟุ่มเฟือยอีกแล้ว
     มันวิกฤติแล้ว นี่เป็นเรื่องของบุคคลธรรมดาที่ยังไม่สุกงอม กลุ่มใหญ่ด้วย แต่เมื่อก่อนถ้าจะไปพูดกินยาฟ้าทะลายโจรนี่ คนหัวเราะ กินอาหารปลอดสารนี่ คนหัวเราะ

ช่วงนี้มีคนบ่นรำคาญพวกแดง เหลือง น้ำเงิน มันจะไปจบตรงไหน ทักษิณตาย ติดคุก เหลืองเป็นพรรคการเมือง หรือจะถูกปราบ จะจบอย่างไร
     นักเคลื่อนไหวมวลชนมองว่า ถ้าทักษิณมีอำนาจต่อเนื่อง ก็จะนำประเทศเข้าวิกฤตใหญ่เหมือนกัน และถ้าเหลืองขึ้น หรือชนะ ก็เดินไปตามรอยแนวทางพัฒนาแบบเก่า

บนเวทีพันธมิตรฯ ก็พูดบ่อยๆ จะมีแนวทาง สวนทางกับการเมืองเก่าทั้งหมด
     พันธมิตรฯ มียุทธศาสตร์ ยุทธวิธีเพื่อให้ได้อำนาจรัฐ คอมมิวนิสต์จีนทำ แต่การสร้างรัฐให้เป็นอย่างไร สร้างสังคมให้เป็นอย่างไร ไม่พูด ก็เลื่อนลอย

พันธมิตรฯ บอกลงถนนประท้วงอย่างเดียวลำบากแล้ว จึงจำเป็นต้องเคลื่อนข้างบนด้วย ตั้งพรรคส่งคนเลือกตั้งเข้าไปเป็นเหมือนยาดำ ส่วนการเมืองภาคประชาชนก็ทำด้วย
     ประสบการณ์นี้ ยังไม่ทำ ก็ต้องทดลอง แต่ถามว่ามีใครบ้างเชื่อมั่น บางคนก็ได้โอกาสปีนป่ายขึ้นไปมีตำแหน่งการเมืองมากกว่าคำนึงถึงประชาชน ผมคิดว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เขาเชื่อแค่การ บาลานซ์พาวเวอร์ เพื่อจะได้สร้างพื้นที่ของเขา มีหลายคนก็คิดอย่างนี้ ส่วนเรื่องแนวทางเศรษฐกิจ คนระดับนักธุรกิจในพันธมิตรฯ มีใครคิดจะสร้างธุรกิจตลาดภายในอย่างจริงจัง สร้างเศรษฐกิจทางเลือก คิดจะสร้างองค์ความรู้กระบวนทัศน์ใหม่ อาจพูดบนเวทีได้ แต่เห็นจริงๆ ก็มีแค่สำนักสันติอโศกเท่านั้น  และไม่รู้อโศกบน หรืออโศกล่าง คือ จำลองอโศกบน โรงเรียนผู้นำ เป็นทหารเก่า พวกรวยๆ ทั้งนั้นไปเรียน เป็นที่ชุบตัว แต่ไม่เป็นไร ขอให้เคลื่อนไหวจริง ขออย่าเอาโครงสร้างแนวดิ่งมาแก้อย่างเดียว สำหรับสันติอโศกล่าง เขาทำมานาน ซึมไปเหมือนน้ำ 

กลุ่มขัดแย้งทางการเมือง แดง เหลือง น้ำเงิน ตอนนี้คนเบื่อ พลอยเดือดร้อนไปด้วย จะทำอย่างไร
     ต้องพูดถึงโครงสร้างอำนาจก่อน ไปบอกใครเป็นเหลือง แดง มันมั่ว เพราะความจริง ทุนท้องถิ่น ได้แก่ เจ้าของโรงสี โรงมัน โรงอ้อย โรงโม่ สารพัด บางทุนท้องถิ่นตั้งพรรค เช่น ทุนบรรหาร หรือพรรคใหม่ ทุนภูมิใจไทย บางทุนไม่ตั้งพรรค เช่น ทุนของเป๊าะไม่ตั้ง แต่ไปได้ทุกพรรค ที่ผ่านมาทุนส่วนกลางเดิมคือศักดินา เอาเปรียบทุนท้องถิ่น ทักษิณ ชินวัตร เปิดกว้างกว่า ทุนท้องถิ่นจึงเอาด้วย ก็มาดึงพี่น้องชาวบ้านไป แล้วไปบอกชาวชนบท ทะเลาะกับคนกรุง อย่างนี้เข้าใจผิด 
    กลุ่มทุนท้องถิ่น ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกกลับมากุมทิศทางการเมืองท้องถิ่น อบจ.มันคุม บางที่ลงไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุนท้องถิ่นกำหนดทิศทางข่าวสารต่อพี่น้องชนบท มาระบุว่า เป็น 2 นคราประชาธิปไตย คนชนบทตีกับคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งมันไม่ใช่
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจตอนนี้ คือ

หนึ่ง สีน้ำเงินเดิม ศักดินา เป็นทุนอภิสิทธิ ทุนงุ่มง่าม

สองทุนโลกาภิวัตน์

สาม ทุนท้องถิ่น แต่ก่อนหากินกับทุนเดิม ตั้งโรงสี พ่อเป็นนักเลง หากินกับของเถื่อนบ้าง โรงเลื่อยฟาดต้นไม้จนเหี้ยน โรงสีก็แดกเอาเปรียบชาวบ้าน เมื่อเห็นทุนใหม่โลกาภิวัตน์ แข็งแกร่งกว่าก็เข้าไปร่วมด้วย ส่วนพวกเสื้อแดงเป็นแนวทางจากข้างบน ไม่ใช่จากชนบทกำหนดเอง และไม่ใช่คนชั้นกลางตีกับชนชั้นล่างชนบท ทุนท้องถิ่นได้พลิกตัวแล้วตั้งแต่ปี 2540 เขาได้พิจารณาแล้ว ทุนของเขาจะอยู่รอด ต้องรวมกับทุนโลกาภิวัตน์

องค์การภาคประชาชนได้ปรับตัวอย่างไร ในแง่ขบวนการเคลื่อนไหว และทฤษฎี
   จากประสบการณ์การต่อสู้ของภาคประชาชนประมาณ 20 ปี ได้ประชุมแลกเปลี่ยนสรุปบทเรียนเมื่อหลายปีแล้ว เสนอแนวทางสร้างสังคมภาคประชาชน ซึ่งการเมืองภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่ง เสนอเป็นคำขวัญไว้ คือ ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจภาคประชาชน นี่คือการเคลื่อนในส่วนข้างบน
   ส่วนการเคลื่อนไหวจากข้างล่าง คือ ให้คิดค้นฝ่าวิกฤตด้วยการศึกษาและปรับใช้ภูมิปัญญา ที่ผ่านมา ปรากฏในรูปการจัดการ ป่าชุมชน ป่าครอบครัว ป่าหัวไร่ปลายนา เกษตรอินทรีย์ เกษตรพึ่งตนเอง หรือเกษตรทางเลือก เกษตรพอเพียง แล้วแต่จะเรียก ก็เกิดนักปฏิบัติ และปราชญ์ชาวบ้านขึ้น
   ในทางทฤษฎี ภาคประชาชนต้องปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ที่ผ่านมา ไม่ว่าประเทศใหญ่ เช่น คอมมิวนิสต์จีน รัสเซีย ปัจจุบันก็มีกระบวนทัศน์แบบทุนไปหมดแล้ว ประเทศไทยเองใครมาเป็นรัฐบาลก็มีกระบวนทัศน์แบบเดียวกัน พรรคการเมืองใหม่ ก็เช่นกัน ยังไม่มีหลักประกัน
การเมืองภาคประชาชนต้องสู้กับทุนนิยมไร้รัฐ สู้กับอำนาจรัฐ และต้องเสนอสร้างสังคมใหม่ด้วย คือ ต้องทั้งปฏิวัติ และปฏิรูป ซึ่งที่ผ่านมา กระแสขบวนการกรีน เกิดจากยุโรปเป็นระยะๆ ซึ่งของเรานอกจากไปไกลกว่ากรีน ยังพูดถึงปรับแนวทางภูมิปัญญาชุมชนให้มารับใช้ด้วย
ทั้งนี้ และต้องสร้างฐานข้อมูล องค์ความรู้ ถ่ายทอด ด้วยการการขยายแนวคิด ต้องสื่อสารกับสื่อมวลชน ทั้งนี้ เพราะสื่อหลักในกระแสทุน ไม่มีนโยบายสร้างสำนึกมองพัฒนาการทางประวัติศาสตร์จากขบวนการข้างล่าง มองเฉพาะโครงสร้างข้างบน เช่น มองการเปลี่ยนแปลง 2475 จากเฉพาะส่วนข้างบนกำหนด ซึ่งความจริงการเคลื่อนไหวข้างล่างก็ดำเนินมาตลอดอย่างต่อเนื่อง สื่อวูบวาบกับการสร้างประเด็นใหม่ ๆ ไปเรื่อย ไม่ยึดเงื่อนไขพื้นฐานมาแต่อดีต และสะท้อนมาถึงปัจจุบัน
    ในส่วนขบวนการเคลื่อนไหว ก็ต้องปรับต้องวิพากษ์ตัวเองเช่นกัน เพราะมันเกิดขุนนางเอ็นจีโอ กับพวกทรยศอุดมการณ์เพื่อพี่น้องประชาชน พวกขุนนางเอ็นจีโอ ก็คือพวกเหยียบหัวพี่น้องประชาชนขึ้นไป เสวยตำแหน่ง ได้เงินค่าตอบแทน
    ส่วนพวกทรยศอุดมการณ์ สรุปได้เป็นลักษณะอัปลักษณ์ 9 ประการ คือ

1) เมื่อมีชื่อเสียงแล้วอิสตรีห้อมล้อมก็พัง

2) เคลื่อนไหวเพื่อให้เป็นข่าว

3) เห็นลาภ หลงลาภ ถูกชักจูงไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

4) ชาล้นถ้วย ไม่รับฟังถือว่าตัวรู้ดีหมดแล้ว

5) ผู้นำหมาหางด้วน หรือผู้นำหัวหลุด ทำอะไรไม่ปรึกษามวลชน 
6) ติดลมบน ลงไม่เป็น (ลงได้แต่ไม่ยอมลง) ย้ายที่ใหม่เมื่อไม่ได้สิ่งที่หวัง

7) ไม่ยอมรับการสามัคคีวิจารณ์

8) ไม่ทันโลก ไม่ทันสังคม ยังชูป้ายเก่าหากิน และ

9) ไม่มีกระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อเป็นผู้สร้าง
    สำหรับกระบวนทัศน์เก่า คือ การช่วงชิงอำนาจรัฐ หรือการยึดพื้นที่ประท้วงแล้วต่อรอง ล็อบบี้ ซึ่งไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะรัฐย่อมรู้ทางดีแล้ว การเข้าหาฝ่ายอำนาจรัฐเพื่อล็อบบี้กลายเป็นบอกแนวทางการเจรจาต่อรอง
    ที่ผ่านมา การตั้งสมัชชาเกษตกรรายย่อภาคอีสาน (สกยอ.) ก็แตกเป็นหลายกลุ่ม และกลุ่มหนุ่มป้ายแดงก็เรียกร้องขอขึ้นมานำขบวน ผลปรากฏ ผู้นำหลายคนไปรับใช้กลุ่มการเมืองแทบทั้งสิ้น ผมจึงบอกว่าพวกมึงป้ายแดงขับรถ กูดูมานับ 10 ปีแล้ว มีแต่ขับลงถนน ตกเหว จะไม่เอาอีกแล้ว เงื่อนไขภายในต้องกำหนดภายนอก ไม่ใช่ให้ภายนอกกำหนดภายใน เราจึงต้องจัดขบวนภายในให้ดีก่อน ซึ่งการวิพากษ์รัฐบาลมันง่ายที่สุด แต่วิพากษ์ตัวเองนี่ยากสุด ดังนั้น จึงต้องมีทั้งสองส่วน คือ สังคายนาทั้งขบวนการภาคประชาชน กับการปลงอาบัติเฉพาะตัว แต่ละคนต้องวิพากษ์ตัวเอง สารภาพ และแก้ไข
   ปัญหาตอนนี้คือ ต้องสร้างกระบวนทัศน์ให้เราต้องเป็นทั้งนักปฏิวัติและนักปฏิรูปในคน ๆ เดียวกัน เพราะถ้าเราไม่ต้องการแนวทางแบบเก่า ๆ เราก็ต้องเป็นผู้สร้างด้วย ต้องมีทางออกให้สังคมด้วย ที่สำคัญจะต้องให้การศึกษา ตอนนี้ได้มีการสัมมนาและสรุปว่า คงต้องสร้างนิวเจเนอเรชั่น และถึงขั้นสร้างหลักสูตรเรียนกันด้วย

++++++++++
*บำรุง บุญปัญญา เกิด อ.รัตนบุรี สุรินทร์ จบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 คณะกสิกรรมและสัตวบาล สาขาปฐพีวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2511 อยู่กรมพัฒนาที่ดิน ไม่นานลาออกมาทำมูลนิธิบูรณชนบท ที่ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก่อตั้ง ต่อมาได้ทุนเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ หลักสูตร 2 ปีแต่อยู่ได้ 13 เดือน เหตุทะเลาะกับฝรั่งเหยียดผิว กลับมาทำงานด้านพัฒนา ศึกษาและนำเสนอแนวคิดนิเวศวัฒนธรรม

Tags : บำรุง บุญปัญญา

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/news-maker/20090807/66827/บำรุง-บุญปัญญา:วิพากษ์การเมือง...ขุนนางNGO-9แกนนำอัปลักษณ์.html

--
ขอเชิญอ่าน  blog.Thank you so much.
http://www.blognone.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://dbd-52.hi5.com
http://www.gpssociety.com/_Th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น